ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

โมกษะ : สิ่งสัมบูรณ์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
               
ความเป็นมาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 

           ศาสนานี้ถือกำเนิดในประเทศอินเดีย ประมาณ 1,000 ปี ก่อนพุทธกาล ยุคเริ่มแรกเรียกว่าศาสนาพราหมณ์
เป็นยุคที่คัมภีร์พระเวทและคัมภีร์อุปนิษัทซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลสูงสุดโดยตรง และยุคต่อมาประมาณ 100 ปี ก่อนพุทธกาล เป็นยุคที่มหากาพย์รามายณะ และมหากาพย์มหาภารตะยุทธ์ ซึ่งเป็นมหากาพย์ที่ได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์อุปนิษัทอีกทอดหนึ่ง และมีอิทธิพลสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ ในช่วง 2 ยุคนี้ศาสนาพราหมณ์ยังคงรักษาชื่อเดิมคือศาสนาพราหมณ์และยังไม่มีการตีความคัมภีร์อุปนิษัทมากนัก แต่ในยุคเริ่มต้นพุทธกาล ศาสนาพราหมณ์ไม่เป็นที่นิยมของชาวชมพูทวีป เพราะต้านกระแสของพุทธธรรมไว้ไม่ไหว และมองเห็นว่าไม่สามารถรักษาสถานะเดิมอันมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของปวงชนได้เท่ากับพุทธศาสนา จึงได้มีการตีความหมายของคัมภีร์อุปนิษัทเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้มีเหตุผลน่าเชื่อถือและทันสมัยเพื่อชิงความเป็นหนึ่งกับพุทธศาสนา จนกระทั่งช่วง พ.ศ. 700 เป็นต้นมา ศาสนาพราหมณ์ได้พัฒนาการแนวความคิดจนแบ่งออกเป็นลัทธิปรัชญาต่างๆ ที่สำคัญถึง 6 ระบบ กล่าวคือ นยายะ ไวเศษิกะ สางขยา โยคะ  มีมามสา และเวทานตะ ลัทธิทั้งหกนี้ล้วนแต่มีพื้นฐานแนวคิดที่ได้มาจากคัมภีร์อุปนิษัท แต่ตีความคัมภีร์อุปนิษัทแตกต่างกันไปบ้าง ดังนั้นทั้ง 6ระบบนี้ จึงเรียกว่าปรัชญาฮินดู และเรียกว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็เพราะปรัชญาฮินดูพัฒนามากจากศาสนาพราหมณ์ และเรียกว่าศาสนาฮินดูก็เพราะว่าถึงแม้ระบบทั้ง 6 นี้ เรียกกันว่าระบบปรัชญา แต่ปรัชญาของอินเดียล้วนมีพื้นฐานอยู่บนศาสนาและไม่เคยแยกออกจากศาสนา ระบบปรัชญาทั้ง 6 ดังกล่าวนี้ก็เช่นเดียวกัน
               
โมกษะ 
                
           สิ่งสัมบูรณ์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือโมกษะ หมายถึง ความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร และดำรงอยู่อย่างเป็นสุขนิรันดร์ในภาวะหนึ่งเดียวกับพรหมัน อีกประการหนึ่ง มโนทัศน์เกี่ยวกับ โมกษะ มี 2 ด้าน กล่าวคือ ด้านปฏิเสธ หมายถึงภาวะที่ไร้ร่างกาย  ไร้ ความชั่วร้าย ไร้ความอยากได้ใคร่มี และไร้การทำสิ่งชั่วร้ายใด และ ด้านตอบรับ คือภาวะที่รู้แจ้งหรือรู้ชัดแจ้งว่าเป็นหนึ่งเดียวกับพรหมัน
           สาเหตุที่มนุษย์ไม่สามารถบรรลุโมกษะ เพราะถูกอวิทยาครอบงำ มนุษย์ (ชีวาตมัน หรืออาตมัน) ดังนั้น จึงไม่รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมคือปรมาตมันหรือพรหมมัน อันเป็นสรรพมูลการณ์ของสรรพสิ่งและแม้กระทั่งของชีวาตมันนี้ด้วย ดังนั้นมนุษย์จึงทำกรรมด้วยโมหะจิตคือความโง่เขลา ด้วยเหตุนี้ บุญและบาปจึงเกิดขึ้น และทำให้ติดอยู่ในสุข และพยายามหลีกหนีทุกข์ แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม มนุษย์ก็จะวนเวียนอยู่ในสุขและทุกข์อย่างไม่สิ้นสุด ต่อเมื่อมนุษย์โดยชีวาตมันซึ่งเป็นแก่นแท้ของมนุษย์รู้แจ้งเห็นจริง (วิทยา) ในภาวะที่แท้จริงของพรหมมัน ขจัดความเห็นต่างระหว่างพรหมมัน (หรือปรมาตมัน) กับชีวาตมันและสรรพสิ่งได้ และประจักษ์ชัดว่าพรหมัน ชีวาตมัน และสรรพสิ่ง ล้วนเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นก็เป็นอันหลุดพ้น (โมกษะ) จากการเวียนว่ายตายเกิด ดำรงอยู่อย่างเป็นสุขในภาวะหนึ่งเดียวกับพรหมันตราบนิรันดร์

            โมกษะเป็นภาวะที่มีอยู่จริงและไม่ใช่แค่เพียงเป็นภาวะที่ปราศจากความทุกข์ โมกษะไม่ได้อยู่ภายนอกชีวาตมัน ไม่ใช่ภาวะที่จะต้องเข้าไปให้ถึงแต่เป็นภาวะที่แฝงอยู่ในตัวชีวาตมันนั่นเอง เพียงแต่ชีวาตมันปฏิบัติให้สอดคล้องจนทำลายอวิทยาได้จนความรู้แจ้งว่าชีวาตมันเป็นอันเดียวกับอาตมันหรือปรมาตมัน และนั่นก็คืออันเดียวกันกับพรหมัน ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างอาตมันและพรหมัน
               ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีทรรศนะว่าโมกษะเป็นเป้าหมายสูงสุดและเป็นที่รับรู้กันของชาวอินเดีย ดังที่นักปรัชญาชาวอินเดียได้ยืนยันอยู่เสมอว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตมนุษย์ก็คือการหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทางโลก มนุษย์ทุกคนต่างต้องเผชิญหน้าหรือถูกท้าทายจากความสัมพันธ์ของเขากับวัตถุสิ่งของต่างๆอันเป็นที่รัก หรือกับบุคคลอื่นซึ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนม และทุกครั้งที่มนุษย์เรารู้สึกว่าตนเองถูกจองจำผูกมัดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ใจหนึ่งอยากจะปลดเปลื้องตนเองให้พ้นไป แต่อีกใจหนึ่งก็ยังผูกพัน นี้คือ ความท้าทายที่ให้โอกาสแก่มนุษย์ได้เลือก

           ดังนั้น บุคคลผู้เห็นภัยหรือเห็นความทุกข์ของชีวิตในวัฏฏะสงสาร จึงต้องการให้วิญญาณหรืออาตมันของตนเข้าสู่ภาวะแห่งการหลุดพ้นหรือโมกษะ วิถีทางแห่งการหลุดพ้นคือการปฏิบัติธรรมตามหลักอาศรมสี่ มรรคสี่หรือโยคะสี่ การปฏิบัติตามหลักดังกล่าวนี้จะทำลายมายาหรือ อวิทยาให้หมดสิ้นไป และนำไปสู่การบรรลุโมกษะหรือการหลุดพ้นอันเป็นเป้าหมายหรืออุดมการณ์สูงสุด 
           แนวทางปฏิบัติเพื่อบรรลุโมกษะ คือการปฎิบัติหลักโยคะ ได้แก่ชญานโยคะ กรรมโยคะ และภักติโยคะ ผู้ที่ปฏิบัติได้ตามหลักการนี้อย่างสมบูรณ เรียกว่า โยคี ที่แท้จริง โยคี แปลว่าผู้ประสาน คือประสานหลักการทั้งสามนั้นเป็นหนึ่งเดียว จนกลายเป็นโยคี คือผู้บรรลุโมกษะ  ในบรรดาโยคะสามนี้ ชญานโยคะ สำคัญที่สุด ถ้าปราศจากชญานโยคะแล้ว  โยคะอื่นก็หามีไม่ เพราะกรรมโยคะ และภักติโยคะเป็นเพียงการแสดงออกของชญานโยคะ  ถ้าปราศจากชญานโยคะเสียแล้ว โมกษะก็หาเกิดขึ้นไม่ การละความยึดมั่นถือมั่นในกรรมคือการกระทำ (กรรมโยคะ) และการมีความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยไม่หวังผลไดๆตอบแทน (ภักติโยคะ)ย่อมไม่อาจมีได้

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก