ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีความไม่แน่นอนสูง คนเสื้อแดงกำลังชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ในส่วนของรัฐบาลก็ต้องรักษาอำนาจไว้ให้ได้นานที่สุด ฝ่ายหนึ่งอยากให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ อีกฝ่ายอยากอยู่ในอำนาจต่อไป ใครผิดใครถูกตอนนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ การชุมนุมของประชาชนแต่ละครั้งย่อมมีผลกระทบต่อบ้านเมือง นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของการชุมนุม จะคิดจะเขียนอะไรตอนนี้คิดไม่ออก เพราะต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด วันนี้ลองอ่านประสบการณ์ของพระภิกษุรูปหนึ่งที่มีเรื่องน่าสนใจไปเกี่ยวข้องกับวิญญาณ ณ ถ้ำแห่งหนึ่ง
ขอเรียกนามสมมุติของท่านว่า "วราโกภิกขุ" ท่านวราโกภิกขุเป็นภิกษุที่ใฝ่ใจในด้านการศึกษา เคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงฆ์จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีศาสนศาสตรบัณฑิต แต่มีช่วงหนึ่งที่ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดถ้ำเอราวัณ ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดหนองบัวลำภู ท่านวราโกเคยพบกันที่จังหวัดเชียงใหม่และเคยมาพักพาอาศัยกับผู้เขียนมีความสนิทคุ้นเคยกันดี ท่านได้เล่าประสบการณ์ชีวิตพระครั้งหนึ่งที่เคยประสบพบเห็นมา ณ วัดถ้ำเอราวัณให้ฟัง
ท่านเริ่มต้นเล่าเรื่องให้ฟังว่า "ตอนนั้นผมยังเป็นพระภิกษุหนุ่มไม่ได้คาดคิดด้วยซ้ำไปว่าชีวิตจะถึงคราวย้อนกลับภูมิลำเนาเดิม ถ้ำเอราวัณคือถิ่นที่เคยไปร่วมพัฒนาตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งหนีไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ หลังจากเรียนจบจึงได้เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่วัดถ้ำเอราวัณ
ตอนนั้นเพื่อนเก่ากลับมาเป็นเจ้าอาวาส วราโกจึงกลายเป็นพระลูกวัดที่มีเพื่อนสมัยเรียนบาลีสอบเปรียญธรรมได้ปีเดียวกันเป็นเจ้าอาวาสถ้ำเอราวัณ ดินแดนที่แปลกเพราะไม่สามารถแยกอาณาเขตออกได้ว่าจะอยู่ในสังกัดจังหวัดไหนกันแน่ ฝากภูเขาฝั่งหนึ่งอยู่ในอาณาเขตของจังหวัดเลย อีกฝากหนึ่งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี เส้นแบ่งอาณาเขตอยู่กลางภูเขาพอดี เวลาบิณฑบาตก็ต้องอาศัยสองหมู่บ้าน สองจังหวัด ปัจจุบันวัดถ้ำเอราวัณ เปลี่ยนมาอยู่ในอำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ในยุคนั้นมีพระเณรที่อยู่จำพรรษาในวัดปีนั้นมีมากถึง 50รูป จัดการเรียนการสอนตั้งแต่นักธรรม บาลี ธรรมศึกษา และพุทธศาสนาวันอาทิตย์ งานที่ทำคือการสอนเริ่มตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเย็นจึงเลิก
วราโกภิกขุไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเบื้องหลังขุนเขาที่ทอดตัวเป็นเงาทะมึนประดุจงูยักษ์ที่หลับไหลนั้น จะมีสิ่งลึกลับยากแก่การเข้าใจ อธิบายยาก เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน ภูตผีปิศาจแม้ว่าจะมีหรือไม่มีก็ตามแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สลักสำคัญนัก
แต่เมื่อต้องมาเผชิญด้วยตนเองอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้จินตนาการที่เคยมีต้องเปลี่ยนไป วราโกเริ่มมีอาการของคนป่วยโดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าป่วย เพราะแต่ละวันยังคงทำงานเต็มเวลาเหมือนทุกวัน เลิกจากสอนเข้าห้องเตรียมการสอน บางวันก็เผลอหลับโดยที่ไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมากลางดึกออกมาเดินเล่นฟังเสียงสายลมพัดใบไผ่ไหวเอนลู่ พร้อมกับความเหน็บหนาวที่เย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
ความหนาวที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นที่เคยเห็นมาทั้งนั้นเป็นความหนาวที่ปวดแสบเพราะกระแสลม ตามร่างกายแตกเป็นแผล เวลาที่กระทบกับน้ำจะแสบร้อน ยิ่งตอนเช้าเวลาเดินออกบิณฑบาตยิ่งต้องทุนทุกข์ทรมาน เพราะทางเดินเป็นถนนลูกรัง เมื่อถูกหมอกลงผสมกลายเป็นดินเหนียวติดเท้าเวลาเดิน
วราโกป่วยหลายเดือนทั้งๆไม่มีใครรู้ว่าป่วย เพราะอาการไม่ได้แสดงให้ใครเห็น ดึกสงัดคืนหนึ่งวราโกรู้ว่าตัวเองคงจะทนไม่ไหวแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งสมาธิ ก่อนที่จะคุมใจให้สงบนิ่งได้ ก็เผลอคิดไปว่า “ไหนว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่แห่งถ้ำเอราวัณยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์นัก ถ้าแน่จริง ยิ่งใหญ่จริงจะปล่อยให้พระตายกันหรืออย่างไร อุตส่าห์ปลีกตัวหนีมาทำงานเพื่อช่วยเหลือพระศาสนา สอนคนให้เป็นคนดี แต่ตัวเองกำลังจะตาย ไม่มีเงินรักษาตัวเองเลย อยู่กินอย่างแสนลำบาก พอกันทีเจ้าพ่อเจ้าแม่มีที่ไหนกัน คงเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น”
คืนนั้นภิกษุหนุ่มหลับสนิท ในภวังค์แห่งความฝันเป็นภาพร่างเหมือนจริง ปรากฎว่ามีคนแก่คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ผิวสีดำ พร้อมด้วยหญิงสาวรูปร่างสมส่วนสวยงามพาดผ้าสไบเฉวียงบ่าออกสีนวล ทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน
วราโกจำได้ว่าก่อนนอนได้ปิดประตูลงกลอนเรียนร้อยแล้ว แต่ทำไมสองคนนั้นจึงเดินเข้ามาได้ พอมาถึงหลังจากนั่งลงข้างๆแล้ผู้พ่อเอ่ยถามคำแรกว่า “อาการเป็นอย่างไร ใกล้ตายหรือยัง” น้ำเสียงออกแววประชดแต่หน้าตากลับยิ้มแย้ม
วราโกพยายามจะลุกจากที่นอน แต่ผู้เฒ่าโบกมือเป็นเชิงห้ามว่าให้นอนอยู่อย่างนั้นแหละ ภิกษุหนุ่มจึงถามด้วยความแปลกใจว่า “ท่านเป็นใคร มาจากไหน” ผู้เฒ่าอารมณ์ดีจึงตอบว่า “อ้าวไหนว่าอยากจะพบนัก เห็นบ่นนักบ่นหนาว่าอยากพบก็มาแล้วนี่ไง นี่ลูกสาว อยู่บนเขานี่แหละ มาเยี่ยมเอาเงินมาให้ ว่าแล้วผู้เฒ่าหยิบเงินจำนวนหนึ่งสอดใส่ในสมุดเล่มหนึ่งที่กองรวมกับหนังสืออื่นๆ “วันมะรืนไปหาหมอซะ เงินอยู่ในสมุดนี่ วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่” พูดจบผู้เฒ่าและลูกสาวก็เดินออกนอกห้องไป