ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

 

 

ลาหุล,สปิติและคินนาอูระ

        หุบเขาลาหุลและสปิติในหิมาจัลประเทศมีความสูง 10,000-16,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล แยกจากหุบเขากุลุที่ด่านโรหตังที่มีชื่อเสียง ที่รู้จักกันดีว่าเป็นด่านมรณะ หุบเขาลาหุลทอดยาวผ่านด่านโรหตังไปทางทิศเหนือกอปรด้วยแม่น้ำจันทราและแม่น้ำภคะต่อมาได้เชื่อมกับเชนาบในพื้นที่ 2,200 ตารางไมล์ ความสูงจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยประมาณ 12,000 ฟุต สปิติทอดยาวไปทางตะวันออกของกุลุ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปทางด่านโรหตังมีพื้นที่ 2,931 ตารางไมล์ สปิติ ชาวพื้นเมืองเรียกว่าปีติ ภาษาทิเบตหมายถึงจังหวัดที่อยู่ในท่ามกลาง มีชายแดนติดต่อกับสามประเทศคือลาดักคห์,ทิเบตและบูซาหาร์ (รามปุระ) หุบเขาคินนาอูระทอดยาวไปตามฝั่งแม่น้ำสุตเลจ ส่วนที่สูงที่สุดอยู่ติดชายแดนทิเบต
        อาจกล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาได้เข้าสู่ลาหุลและสปิติประมาณพุทธศตวรรษที่ 5 แม้ว่าความจริงจะได้รับการเผยแผ่เข้าสู่ดินแดนในหุบเขาหิมาลัยประมาณพุทธศตวรรษที่ 2 โดยนักเผยแผ่ศาสนามีพระมัชฌิมะเป็นประธาน โดยการมอบหมายของพระเจ้าอโศก เพื่อเปลี่ยนให้ชาวหิมาลัยหันมานับถือพระพุทธศาสนาตามโครงการธรรมวิจัยของพระองค์ ความเกี่ยวพันในทางศาสนาของพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับปัทมสัมภวะมากกว่า เมื่อท่านได้เดินทางมาพักที่หุบเขาแห่งนี้ช่วงหนึ่งระหว่างการเดินทางไปทิเบตในปีพุทธศักราช 1290-1291 นักการศาสนาที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในพื้นที่ส่วนนี้คือท่านรินเชนซางโป (ราธภัทร์) (พ.ศ. 1501-1598) กล่าวกันว่าท่านเกิดที่สุมระในคินนาอุระ วัดโบราณในพื้นที่ส่วนนี้ต้องรอจนถึงพุทธศตวรรษที่ 16 เชื่อกันว่าท่านเป็นผู้สร้าง
        พระพุทธศาสนาในลาหุล,สปิติและคินนาอูระ ถือปฏิบัติตามทิเบต พระภิกษุเรียกว่าลามะเหมือนกัน เพราะความใกล้ชิดกับทิเบตนั่นเอง ผลกระทบทางจากวัฒนธรรมจากทิเบตได้ไหลบ่ามาสู่ประเทศเหล่านี้ด้วย มีสิ่งที่สังเกตเห็นได้หลายอย่างเช่น วิหาร,กอมปา,วัดต่างๆ มีชื่อเป็นภาษาทิเบต วิหารใหญ่ๆในแต่ละวัดก็ถูกเรียกว่าลาขาง และพระพุทธรูป,พระโพธิสัตว์และเทพเจ้าอื่นๆ ที่ได้รับการสถาปนาในที่นี้ด้วย วัดแต่ละแห่งมีห้องโถงใหญ่เพื่อใช้ในการสอนเรียกว่าทูขาง  หมายถึงห้องประชุม วัดหลายแห่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม เป็นภาพเหตุการณ์ที่พรรณามาจากชาดกและพุทธประวัติ ที่ทางเข้าหมู่บ้านแทบทุกแห่ง มักจะได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงเสมอ รูปจำลองสถูปโบราณ การสร้างโชร์เต็นเหล่านี้ ได้รับการพิจารณาว่าเป็นการทำบุญ (จากจำนวนของโชร์เต็น)

  

        ดังนั้นโชร์เต็นจึงมีจำนวนมาก และสามารถมองเห็นได้ในที่แทบทุกแห่งทั้งในคินนอุระ,ลาหุลและสปิติ มีมนตร์มหายานที่มีชื่อเสียงบทหนึ่งคือ “โอม มณี ปัทเม ฮูม” (ขอให้พวกเราเป็นเจ้าของดอกบัววัชระ) ชาวพุทธเชื่อว่ามนตร์บทนี้จะเป็นผู้ช่วยเหลือให้พ้นจากอันตรายทั้งปวง และเกือบทุกแห่งจะได้ยินเสียงสวดมนตร์โดยผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังได้รับการเขียนบนแผ่นผ้าหรือเขียนจารึกไว้บนแผ่นหิน และนำไปไว้ในสถานที่ที่คนส่วนมากสามารถมองเห็นและอ่านออกเสียงได้ เช่นอนุสาวรีย์ที่เรียกว่า “ผนังมณี”และมองเห็นได้ในแทบทุกแห่งใกล้หมู่บ้าน,บนทางผ่าน(ด่าน),ใกล้ป้อมปราการและฝั่งแม่น้ำ
        ในปัจจุบันมีวัดประมาณ 30 แห่งในลาหุล,สปิติและคินนาอุระ วัดที่สำคัญของลาหุลอยู่ที่คเยลาง,การดัง,กุรมรัง,เคมุร,โฉลิง,ซาซิน และตุบชิลิง วัดที่สำคัญในสปิติอยู่ที่ ดหันการ์, คุนกรี,ฮันสา,กิ,กิบาร์,โลซาร์และตาโบ และในคินนาอุระอยู่ที่ ซินี,กานุม,ลิปา, นาโกและปู  ในวัดบางแห่งมักจะมีชาร์เปล(ห้องสวดมนตร์)หลังเล็กเป็นส่วนสำคัญ
        ในหิมาจัลประเทศ นิกายการกยุดปะและนิกายเกลุกปะได้รับความนิยมมาก มีวัดในหลายนิกายกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆทั้งในลาหุล,สปิติและคินนาอุระ นิกายการยุดปะดุกปะประมาณ 40 วัด (ลาหุล 28 วัดและคินนาอุระ 12 วัด) นิกายเกลุกปะ 37 แห่ง (ในลาหุล 1 แห่ง,สปิติ 21 แห่งและคินนาอุระ 15 แห่ง) นิกายนยิงมาปะ 12 แห่ง (สปิติ 7 แห่งและคินนาอุระ 5 แห่ง) และนิกายศากยะปะ 2 แห่ง (อยู่ในสปิติ) ในปีพุทธศักราช 2524 ประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนามีอยู่ประมาณ 52,629 คน ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในลาหุล,สปิติและคินนาอุระ

สิกขิม

        สิกขิมรู้จักกันดีว่าเดนซง(ประเทศแห่งนาข้าว) เป็นรัฐที่ชวนให้หลงไหลมากที่สุดแห่งหนึ่ง ณ บริเวณเทือกเขาหิมาลัย สิกขิมเป็นพื้นที่ลาดเอียงทอดยาวไปทางตอนใต้ของภูเขาหิมาลัยระหว่างทิศตะวันตกและทิศตะวันออกอย่างละครึ่ง ทิศเหนือมีชายแดนติดกับทิเบต  ทิศตะวันออกติดภูฐาน และทางทิศตะวันตกติดเนปาล จากคังโตกเมืองหลวงของสิกขิม ทางรถไฟที่ใกล้ที่สุดคือศิลิคีรีและนิวจัลไพคุรี มีระยะทางประมาณ 114 กิโลเมตรและ 25 กิโลเมตร  คังโตกมีถนนเชื่อมต่อกับดาร์จิลิงและกาลิมปง

 

        ปัจจุบันประชากรชาวสิกขิมประกอบด้วยชนชาติที่แตกต่างกันสามกลุ่มคือเลปชา,โพธิยะและเนปาลี  ชาวเลปชาคือกลุ่มชนที่อาศัยมาแต่ดั้งเดิม ส่วนเนปาลีและโพธิยะอพยพมาจากทิเบต,ภูฐานและเนปาล ตามประวัติศาสตร์ของเลปชาในยุคแรกๆ ที่เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาโดยนักเผยแผ่ศาสนาในปีพุทธศักราช 2183 ซึ่งไม่มีบันทึกไว้ชัดเจนนัก สิกขิมได้แยกเป็นอิสระทางการเมืองและการปกครองในปีพุทธศักราช 2185 เมื่อลามะ 3 ท่านคือกยัลวา ลัสตซัน เฉมโป, เซมปะ เชมโป เฉมโป และริคชิม เฉมโปแห่งนิกายนยิงมาปะจากทิเบต ได้สถาปนาผุนโซก นัมกยัลขึ้นเป็นกษัตริย์เผ่าโพธิยะ(พ.ศ. 2147-2213) ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเลปชาด้วยตำแหน่งโชกยัล(ผู้ปกครองผู้ประกอบด้วยธรรม) ที่ยักสัมในสิกขิมตะวันตก  หลังจากนั้นได้มีคลื่นผู้อพยพจำนวนมากมาจากทิเบตและภูฐาน ลามะจากทิเบตทั้งสามท่านนั้น ได้รับความเชื่อถือให้เป็นผู้วางรากฐานในการก่อสร้างวัดทางพระพุทธศาสนาครั้งแรกขึ้นในสิกขิม และได้เปลี่ยนศาสนาบอนเป็นพุทธศาสนา ราชวงศ์นัมกยัลได้ปกครองสิกขิมอยู่ 333 ปี จนกระทั่งถึงปีพุทธศักราช 2518 เมื่อสิกขิมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย
        ผุนโซก นัมกยัลสืบสันติวงศ์ต่อมาโดยพระราชโอรสคือเทนซัง นัมกยัลในปีพุทธศักราช  2213 ไม่นานนักหลังจากที่ได้ครองราชสมบัติ พระองค์ก็ย้ายเมืองหลวงจากจากยักสัมในสิกขิมตะวันตกมาที่รับเดนเซ ซึ่งอยู่ในสิกขิมตะวันตกเหมือนกัน เมื่อเทนซัง นัมกยัลสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2243 ราชโอรสคือซักโดร์ นัมกยัลได้ครองราชย์ต่อ ซักโดร์เป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ปรับปรุง ซ่อมแซมและสร้างวัดขึ้นเป็นจำนวนมาก วัดที่สำคัญที่พระองค์ได้สร้างขึ้นคือวัดเปมยังเซ สร้างในปีพุทธศักราช 2258 และวัดตาซิดิง ลามะผู้ทรงความรู้มากที่สุดในเวลานั้นคือจิกมี ปาโวแห่งวัดลาบรัง ภายใต้การให้คำแนะนำของจิกมี ปาโว ซักโดร์ยังได้คิดประดิษฐ์อักษรภาษาเลปซาขึ้น จิกมี ปาโวยังได้รวบรวมเรียบเรียงพงศาวดารสิกขิมขึ้นครั้งแรก รู้จักกันแพร่หลายในชื่อว่าบรัส ลโจงส์ รกยัล รับส์ 

 

        กษัตริย์ที่ปกครองสิกขิมองค์ต่อมาคือกยรุมิ นัมกยัล (พ.ศ. 2250-2276) ได้สร้างวัดการมาปะขึ้นครั้งแรกที่สิกขิม ที่ราลังในปีพุทธศักราช  2273 หลังจากนั้นมาก็มีวัดการมาปะอีกมากมายเช่น โผดัง และรุมเตกในสิกขิมสร้างในปีพุทธศักราช  2283 โชคยัลมีกษัตริย์ที่ปกครองต่อมานามว่านัมกยัล ผุนโซก นัมกยัล (พ.ศ.2276-2323) ในช่วงที่พระองค์ปกครองนั้น สิกขิมได้ล่มสลายลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะภูฐานเข้าโจมตีสิกขิมในปีพุทธศักราช 2313 และได้ยึดครองดินแดนทางตะวันออกฝั่งแม่น้ำติสสะ เนปาลก็เข้ารุกรานสิกขิมในปีพุทธศักราช  2317-18 และเข้ายึดครองอาณาเขตทางตะวันตกเทือกเขาสินคลี การที่เนปาลเข้ารุกรานสิกขิมได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากครั้งแล้วครั้งเล่า ชาวเนปาลก็ได้เริ่มตั้งหลักแหล่งในทางตอนใต้ของสิกขิม ปัจจุบันชาวเนปาลได้กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของสิกขิม ส่วนชาวเลปชาและโพธิยะ ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของสิกขิม  ปัจจุบันได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในแผ่นดินเกิดของตัวเอง
        เพราะสภาพแวดล้อมบังคับ รัฐบาลสิกขิมจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษในอินเดีย เพื่อป้องกันการรุกรานของโครขัสแห่งเนปาล โดยเฉพาะโชคยัลแห่งสิกขิมซุกผุ นัมกยัล(พ.ศ. 2328-2406)  ได้เสนอดาร์จีลิงและกลิมปงให้รัฐบาลอังกฤษในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2378 และในปีพุทธราช  2384 อังกฤษเงินช่วยเหลือจำนวน 3,000 รูปีต่อปีเพื่อเป็นการตอบแทนต่อสิกขิม ในปี พ.ศ 2389 เพิ่มขึ้นเป็น 6,000 รูปี  และในปีพ.ศ 2404 สิกขิมก็ได้กลายเป็นประเทศอาณานิคมของรับบาลอังกฤษในอินเดีย ในสนธิสัญญาที่ลงนามโดยสิทกยง ตุลกู และเมื่อโชคยัลแห่งสิกขิม วันที่ 28 มีนาคม  พ.ศ. 2404 สิกขิมก็ตกลงให้รัฐบาลอินเดียสร้างถนนผ่านสิกขิมไปยังชายแดนทิเบต และยังย้ายที่ตั้งรัฐบาล (เมืองหลวง) จากตุมลองทางตอนเหลือของสิกขิม (ที่ถูกย้ายในปี พ.ศ.  2457 เคยเป็นเมืองหลวงในยุคแรกๆของสิกขิมคือลาเบนเซ ซึ่งอยู่ติดชายแดนเนปาลมากเกินไป) ไปที่ คังโตกในสิกขิมตะวันออก ในสนธิสัญญายังยินยอมให้มีการติดต่ออย่างเสรีระหว่างข้าราชการ (ข้าราชการของอังกฤษในอินเดียและสิกขิม) และยอมให้รัฐบาลอินเดียสำรวจประเทศ จากนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลอังกฤษก็ได้ปฏิบัติต่อสิกขิมเหมือนกับที่ปฏิบัติกับอินเดีย

 

 

        เมื่ออินเดียได้รับเอกราชในปีพุทธศักราช 2490 และการรวมตัวกันของรัฐใหญ่ๆ ทั้งหลายที่อยู่ในอินเดีย ความเปลี่ยนแปลงต่างๆก็เกิดให้ในสิกขิมเหมือนกัน ประชาชนเชื้อสายเนปาล ส่วนมากเป็นชาวฮินดู ที่เป็นประชากรส่วนมากของประเทศ ก็เรียกร้องให้มีการบริหารในระบบประชาธิปไตย ในการตื่นตัวทางการเมืองที่ยุ่งยากสับสนนี้ รัฐบาลอินเดียจึงส่งกำลังเข้าสู่สิกขิมในวันที่ 14 พฤษภาคม 2518 เพราะเหตุนี้สถาบันโชคยัลจึงได้ถูกล้มล้างให้ยกเลิกไปด้วย โชคยัลองค์สุดท้ายแห่งสิกขิมคือปัลเด็น โธนดุป นัมกยัล สิ้นชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวที่นิวยอร์คในปีพุทธศักราช 2525
        ในสิกขิมมีวัดพุทธศาสนาหรือกอมปาประมาณ 70 แห่ง วัดที่สำคัญๆ คือเปมยังเซ,ตาซิดิงและรุมเต็ก วัดอื่นๆ ที่สำคัญคือ เอ็นเช(อยู่ที่คังโตก) เผนซัง,เผดง, โธลัง (อยู่ในสิกขิมเหนือ) ราลง,ซังซอยลิง,ขาโชด ปัลริ,ดับดี, สีโนน (อยู่ในสิกขิมตะวันตก) พระพุทธศาสนาจากทิเบตทั้งสี่นิกายนั้นมีเพียงสองนิกายเท่านั้นที่ชาวสิกขิมนับถือคือนยิงมาปะและการกยุดปะ ในปีพุทธศักราช 2524 มีประชานชาวสิกขิมที่เป็นชาวพุทธจำนวน 90,848 คน จากจำนวนประชากรทั้ง 316,385 คน

 

อรุนาจัลประเทศ

        อรุนาจัลประเทศ (แผ่นดินแห่งพระอาทิตย์อุทัย) ในยุคแรกๆมักจะรู้จักกันในนามว่าเป็นองค์กรพิทักษ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะมีชายแดนติดกับทิเบตและจีนทางตอนเหนือ ทิศตะวันตกติดภูฐาน ทิศตะวันออกติดพม่า ทางทิศใต้ติดหุบเขาพรหมบุตรของอัสสัม  อรุนาจัลประเทศมีพื้นที่ประมาณ 18,426 ตารางกิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเขาประมาณ 30 เผ่า และยังแบ่งเป็นเผ่าเล็กเผ่าน้อยอีกมากมาย หมู่ชนที่นับถือพระพุทธศาสนาอยู่ที่มนปัสและเซอร์ดุกปัสแห่งเมืองกาเม็ง, ขัมปติสและสิงหบสแห่งเมืองโลหิต และบางส่วนอยู่ที่ตอนกัสแห่งเมืองไตรัป

 

        พระพุทธศาสนาเข้าสู่อรุนาจัลประเทศโดยปัทมสัมภวะนักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งอินเดีย (ประมาณพ.ศ. 1260-1305) ผู้ที่ได้รับความเคารพในฐานะคุรุ,รินโปเซ ผู้ยิ่งใหญ่ในทิเบต  อย่างไรก็ตามเป็นการติดต่อสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่างอรุนาจัลประเทศ(โดยเฉพาะอย่างยิ่งตวัง)และทิเบต มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการมาปะนักเผยแผ่ศาสนาจากทิเบตได้เดินทางมาเยี่ยมบริเวณเมืองตวังในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 17-18 และได้สร้างวัดขึ้นในที่นี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในกลุ่มนักเผยแผ่เหล่านั้นคือรังจุง โดร์จี(พ.ศ. 1652-1735)ได้ก่อตั้งนิกายการมาปะซึ่งแตกออกมาจากนิกายการกยุดปะ จากทิเบต กล่าวกันว่าท่านได้สร้างวัดขึ้นที่โดมซัง, คารัม(จังดา),จังและบันคาจันคา ในเมืองตวัง ลามะแห่งนิกายนยิงมาปะที่มีชื่อเสียงหลายรูปได้เดินทางจาริกมาที่อรุนาจัลประเทศในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18-19 และเผยพุทธธรรมที่ส่วนนี้

        ในพุทธศตวรรษที่ 22 ทะไลลามะองค์ที่ 5 ได้ช่วยเหลือให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนาในอรุนาจัลประเทศอีกด้วย กล่าวกันว่าพระองค์ได้บริจาคตังกา (ภาพเขียนบนแผ่นผ้า)แก่วัดตวังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างขึ้นในยุคสมัยของพระองค์และสำเร็จบริบูรณ์ในปีพุทธศักราช 2223 วัดที่สำคัญๆอีก 2 แห่งในอรุนาจัลประเทศคือไดรางและดโฮง พุทธศาสนิกชนในอรุนาจัลประเทศมีจำนวน 86,483 คน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ 631,839 คน คิดเป็น 13.69 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด

 

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
แปลจาก D.C. Ahir, Buddhism in Modern India, Sri Satguru Publications,Delhi,1991. (บทที่ 3)

14/05/55

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก