ปรินิพพาน 
            ในวันแห่งการปรินิพพานนั้นพระพุทธองค์ได้แสดง “ปัจฉิมโอวาท” โอวาทครั้งสุดท้าย โดยได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า  "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้เราผู้พระตถาคตเตือนท่านทั้งหลายให้รู้  สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมความฉิบหายไปเป็นธรรมดา   ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น  ให้บริบูรณ์ด้วยไม่ประมาทเถิด" อันนี้เป็นพระวาจาที่สุดแห่งพระตถาคตเจ้า  สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค  เสด็จประทม ณ  พระแท่นที่ปรินิพพาน  พระองค์ได้รวบรวมซึ่งโอวาททั้งปวงที่ได้ประทานแล้วสิ้น 45 พรรษานั้นลงในความไม่ประมาทอันเดียวนั้นแล  ประทานแก่ภิกษุสงฆ์พุทธบริษัทในอวสานกาล  ด้วยประการฉะนี้.
            แต่นั้นพระองค์มิได้ตรัสอีกเลย  ทรงทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุบุพพวิหารสมาบัติทั้ง 9  พระธรรมสังคาหกเถรเจ้าทั้งหลายแสดงไว้ดังนี้  
อนุบุพพวิหารสมาบัติ
            ลำดับนั้น  สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค  ทรงเข้าปฐมฌาน  ออกจากปฐมฌานแล้ว  เข้าทุติยฌาน  ตติยฌาน  จตุตถฌาน  ครบรูปาพจรสมบัติทั้ง 4  ตามลำดับนี้  ออกจากฌานที่  4  แล้ว  เข้า  อรูปสมาบัติทั้ง  4  คือ  อากาสานัญจายตนะ   วิญญาณัญจายตนะอากิญจัญญายตนะ  เนวสัญญานาสัญญายตนะ   ตามลำดับ  ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว  ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ  ดับจิตตสังขาร  คือสัญญาและเวทนา  พระองค์ทรงเข้าอนุบุพพวิหารสมาบัติทั้ง  9  ด้วยประการฉะนี้. 
             ครั้งนั้นพระอานนท์ผู้มีอายุ  ถามพระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระว่า"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธะ   สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ ?"   "ดูก่อนอานนท์ผู้มีอายุ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ยังไม่ปรินิพพานก่อน  พระองค์ทรงเข้าซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ."

            ลำดับนั้น  สมเด็จพระผู้มีพระภาค  เสด็จอยู่ในนิโรธสมาบัติตามกาลที่พระองค์ทรงกำหนดแล้ว  เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติแล้วเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนะ   อากิญจัญญายตนะ  วิญญาณัญจายตนะ  อากสนัญจายตนะ  เป็นปฏิโลมถอยหลังฉะนี้แล้ว  เข้าสู่รูปาพจรฌานทั้ง  4  เป็นปฏิโลมตามลำดับคือจตุตถฌาน ตติยฌาน  ทุติยฌาน  ปฐมฌาน  ครั้งเสด็จออกจากปฐมฌานแล้ว  ก็ทรงเข้าทุติยฌาน  ออกจากทุติฌานแล้ว  เข้าสู่ตติยฌาน  ออกจากตติยฌานแล้ว  เข้าสู่จตุตถฌาน   เสด็จออกจากจตุตถฌานแล้ว  พระองค์ปรินิพพานแล้ว  ในลำดับแห่งความพิจารณาองค์แห่งจตุตถฌานนั้น  ณ  ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาปุรณมี   มหามงคลสมัยด้วยประการฉะนี้.           
            ครั้นเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว  ก็บังเกิดมหัศจรรย์แผ่นดินไหวใหญ่สะเทื้อนสะท้าน  เกิดการโลมชาติชันสยดสยอง  กลองทิพย์ก็บันลือลั่นสนั่นสำเนียงในอากาศ  พร้อมกับปรินิพพานแห่งสมเด็จพระบรมโลกนาถสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น  เป็นมหาโกลาหลในปัจฉิมกาล  สำเร็จโดยธรรมดานิยมบันดาลให้เป็นไปในปรินิพพานสมัย  ด้วยประการฉะนี้.
            เมื่อสมัยพร้อมกับปรินิพพานแห่งพระผู้มีพระภาคนั้น  ท้าวสหัมบดีพรหม   ได้กล่าวคาถาแสดงความสังเวชและเลื่อมใสแห่งตนมีความว่า  "บรรดาสัตว์ทั้งปวงถ้วนหน้า  ไม่มีเหลือในโลก  ล้วนจะทอดทิ้งซึ่งร่างกายไว้ถมปฐพี,  ในโลกไรเล่า  แต่องค์พระตถาคตซึ่งเป็นพระศาสดา  ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงเช่นนี้  ไม่มีผู้ใดจะเปรียบปาน   ทรงพระสยัมภูญาณตรัสรู้โดยลำพัง  พระองค์ถึงซึ่งกำลัง  คือทศพลญาณแล้ว  ยังมิถาวรมั่นคงดำรงอยู่ได้  ยังมาดับขันธปรินิพพาน เสียแล้ว  ควรจะสังเวชสลดนัก."
            ฝ่ายท้าวโกสิยเทวราช  ได้กล่าวพระคาถาความว่า  "สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ  มีเกิดขึ้นและเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา  ย่อมเกิดขึ้นและดับไป   ไม่ยั่งยืนถาวรมั่นคงอยู่ได้ความที่สังขารนามรูปเบญจขันธ์เหล่านั้นระงับเสียมิได้เป็นไป   นำมาซึ่งความสุขเหตุสังขารทุกข์  คือชาติชรามรณะมิได้มีมาครอบงำ."   ฝ่ายพระอนุรุทธเถรเจ้าผู้มีอายุได้กล่าว  2  พระคาถา  มีความว่า "พระพุทธเจ้า  มีจิตอันยั่งยืนคงที่ในโลกธรรมทั้ง  8  ท่านไม่หวั่นไหวลมอัสสาสะหายใจก่อน  และปัสสาสะหายใจกลับดับสิ้นไม่มีแล้ว พระมุนีโลกนาถมิได้หวั่นไหวสะทกสะท้านด้วยมรณธรรมอันใดอันหนึ่ง  ทรงปรารภทำซึ่งสันติความระงับ   คือนิพพานเป็นอารมณ์ทำแล้วซึ่งกาละอันใด  อันพ้นวิสัยสามัญญสัตว์  พระองค์มีจิตมิได้สะทกสะท้านหดหู่พรั่นพรึงต่อมรณธรรมเลย  ได้อดกลั้นซึ่งทุกขเวทนาด้วยสติสัมปชัญญะ อันสุดดี  ความพ้นแห่งจิตด้วยอนุปาทิเสสนิพพานได้มีแล้ว  ประหนึ่งประทีปอันไพโรจน์ชัชวาลดับไปฉะนั้น."
            ฝ่ายพระอานนท์ได้กล่าวพระคาถามีความว่า  "เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทั้งปวง  ดับขันธปรินิพพานแล้ว   มหัศจรรย์อันให้สยดสยองสะดุ้งหวาดและให้โลมชาติชูชัน  ได้เกิดมีแล้ว  ณ  ครั้งนั้น  ปรากฏแก่เทพดามนุษย์ทั้งหลาย." ท่านทั้ง  4  องค์ได้กล่าวคาถาแสดงความสังเวชแห่งตน ๆ  ด้วยประการฉะนี้แล.
            คาถาแสดงเรื่องปรินิพพาน  แห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น  ควรเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวชและไม่ประมาทของสาธุชนบัณฑิตชาติผู้สดับโดยอ่อนน้อม   จะให้หยั่งรู้สภาพปกติแห่งสังขาร  โดยเป็นอนิจจตาทิธรรม  มิได้มีความถาวรมั่งคงดำรงอยู่ได้  ล้วนเป็นของมีความพิโยคแปรผันเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา  เพราะว่าอันอุปาทินนกสังขาร ร่างกายที่มีเวทนาสัญญาและเจตนาครองนี้   ย่อมตกอยู่ในวิสัยแห่งชรามรณะถ่ายเดียว  มิได้มีผู้ใดล่วงพ้น  แม้แต่องค์พระตถาคตทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งเป็นพระศาสดาผู้ประเสริฐในโลกมิได้มีผู้ใดจะเปรียบปาน  ยังมาเสด็จดับขันธปรินิพพาน  มิถาวรดำรงอยู่ได้  ควรแล้วที่สาธุชนจะพึงมีความสังเวชและไม่ประมาทแสวงหาอุบายที่พึ่งแก่ตนในทางกุศลสัมมาปฏิบัติ  อันจะสำเร็จเป็นมรรคาแห่งสุคติสวรรค์และนิพพาน   ด้วยอำนาจแห่งอัปปมาทธรรมโดยกาลเป็นนิรันดร.

ธรรมเนียมการปฏิบัติในวันวิสาขบูชา
            เมื่อวันวิสาขบูชาเวียนมาถึงในรอบปี พุทธศาสนาชนไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต (พระสงฆ์ สามเณร) หรือ ฆราวาส (ผู้ครองเรือน) ทั่วไป จะร่วมกันประกอบพิธีเป็นการพิเศษทำการสักการบูชาเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณา พระปัญญาคุณ และพระวิสุทธิคุณ ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นดวงประทีปโลก เมื่อวันวิสาขบูชา ซึ่งตรงในวันเดียวกัน ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งในรอบปี คือ เวียนมาบรรจบในวันเพ็ญวิสาขบูชา กลางเดือน 6  ปีนี้เป็นปีอธิกมาสจึงเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 7 ตรงกับวันศุกร์ที่์ 28 พฤษภาคม 2553 ชาวพุทธทั่วโลกประกอบพิธีสักการบูชา การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา แบ่งออกเป็น 3 พิธี คือ 
             1. พิธีหลวง (พระราชพิธี) 
             2. พิธีราษฎร์ (พิธีของประชาชนทั่วไป) 
             3. พิธีของพระสงฆ์ (คือพิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจเนื่องในวันสำคัญวันนี้) โดยพุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์จะประกอบพิธีตั้งแต่เช้าดังนี้
                          1. ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล 
                          2. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา 
                          3. ไปเวียนเทียน ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา 
                         4. จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชา 
                         5. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ ฯลฯ
            เหตุการณ์ทั้งสามคือประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานแห่งองค์พระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ยังมีข้อปลีกย่อยอีกนานาประการ ที่พระอรรถกถาจารย์ได้รจนาไว้ มีนัยแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่สาระสำคัญมิได้คลาดเคลื่อนกันมากนัก ชาวพุทธทุกนิกายมักจะมีความเห็นตรงกันว่าวันวิสาขบูชาถือเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่ชาวพุทธควรระลึกถึงพระบรมศาสดาผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา ดังนั้นในแต่ละประเทศต่างก็พร้อมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการหวลรำลึกถึงคุณูปการของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงนำสัจธรรมอันล้ำเลิศมาประกาศแก่ชาวโลก และถือเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนจะต้องช่วยกันธำรงรักษาพระธรรมให้คงอยู่เพื่อดับพิษร้อนแห่งกิเลสทั้งหลาย อันช่วยให้โลกอยู่ได้ด้วยสันติธรรมตลอดไป
 พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
เรียบเรียง
23/05/53
แหล่งอ้างอิง 
     กรมการศาสนา,พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง,กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์การศาสนา,2514. 
     วิชัย  ธรรมเจริญ(รวบรวมและปรับปรุงต้นฉบับ),คู่มือนักธรรมชั้นตรี,กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์การศาสนา,2545. 
     วรนุช อุษณกร, ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์,2528. 
     สุภักดิ์ อนุกูล. วันสำคัญของไทย.กรุงเทพฯ : อักษรบัณฑิต,2530. 
     กรมศิลปากร, กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์. ขนมธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: 2525. 
     http://www.dhammathai.org    
      http://www.learntripitaka.com 
    http://www.banfun.com 
    http://www.mis.moe.go.th/intranet/punlada/daysthai.htm
    http://www.mcu.ac.th/visakha/index.html
    http://www.dhammathai.org 
 
 
															