ตรัสรู้
ในการตรัสรู้นั้นมีข้อความในหนังสือพุทธประวัติดังนี้ นับแต่บรรพชามา 6 ปีล่วงแล้ว จึงได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ คือได้พระปัญญารู้ธรรมพิเศษ เป็นเหตุพอพระหฤทัยว่า "รู้ละ" ในราตรีแห่งวิศาขปุรณมี ดิถีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงวิศาขนักขัตฤกษ์ ที่ใต้ร่มไม้อัสสัตถพฤกษ์โพธิใบ ในปีก่อนพุทธศก 45.
พระองค์ทรงรู้เห็นธรรมอะไร จึงพอพระหฤทัยว่ารู้ และหยุดการแสวงต่อไป และเริ่มสั่งสอนผู้อื่น ? ทางดีในอันสันนิษฐานข้อนี้คือกระแสพระธรรมเทศนาของพระองค์ ที่ได้ประทานไว้ในที่นั้น ๆ ในกาลนั้น ๆ มีปฐมเทศนาเป็นอาทิ. ฝ่ายพระมัชฌิมภาณกาจารย์แสดงความตรัสรู้ของพระองค์ไว้ดังนี้
ทรงเจริญสมถภาวนา ทำจิตให้เป็นสมาธิ คือแน่แน่วบริสุทธิ์ปราศจากอุปกิเลส คืออารมณ์เครื่องเศร้าหมอง สุขุมเข้าโดยลำดับนับว่าได้บรรลุฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4,1 แล้วยังญาณอันเป็นตัวปัญญา 3 ประการให้เกิดขึ้นในยามทั้ง 3 แห่งราตรีตามลำดับกัน.
ญาณ 3 นั้น ที่ 1 บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แปลว่าความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน, ท่านแจกอรรถโดยอาหารระลึกชาติหนหลังของตนได้. ที่ 2 จุตูปปาตญาณ แปลว่า ความรู้ในจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย, ท่านแจกอรรถโดยอาการรู้สัตว์ทั้งหลายอันดีเลวต่างกันว่าเป็นด้วยอำนาจกรรม, อีกนัยหนึ่งเรียกว่าทิพพจักขุญาณ แปลว่าความรู้ดุจดวงตาทิพย์. ที่ 3 อาสวักขยญาณแปลว่าความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือเครื่องเศร้าหมองอันหมักหมมอยู่ในจิตสันดาร, ท่านแจกอรรถโดยอาการกำหนดรู้ขันธ์พร้อมทั้งอาการ โดยความเป็นเหตุและเป็นผลเนื่องต่อกันไป, จบลงด้วยรู้อริยสัจ คือความจริงอย่างสูง 4 ประการ คือรู้ทุกข์ 1 รู้ทุกขสมุทัย เหตุเกิดแห่งทุกข์ 1 รู้ทุกขนิโรธ ความดับแห่งทุกข์ 1 รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทางดำเนินถึงความดับทุกข์ 1. หรือกล่าวสั้นว่ารู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค, และรู้อาสวะ เหตุเกิดอาสวะ ความดับอาสวะ ทางดำเนินถึงความดับอาสวะ เมื่อพระองค์รู้เห็นอย่างนี้ จิตก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.
ญาณทั้ง 3 นั้นพึงเห็นโดยนัยดังนี้
ญาณที่ต้น ให้หยั่งรู้อัตภาพโดยเป็นแต่สภาวะอย่างหนึ่ง ๆ คุมกันเข้า ได้ชื่อว่าขันธ์ เช่นธาตุ 4 ปฐวี อาโป เตโช วาโย คุมกันเป็นเป็นขันธ์อันหนึ่ง เรียกรูป, ความรู้สึกสุขทุกข์หรือเฉย ๆ เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง เรียกเวทนา, ความจำนั่นจำนี่ได้ เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง เรียกสัญญา, ความนึกความคิด เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง เรียกสังขาร,ความรู้ทางทวาร 5 ภายนอกและจิตอันเป็นพนักงานผู้นึกผู้คิด เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง เรียกวิญญาณ; โดยบรรยายนี้เป็นปัญจขันธ์. แม้ขันธ์หนึ่ง ๆ ก็เป็นมาแต่สภาวะย่อย ๆ คุมกันเข้าอีก, เหมือนรถหรือเรือน เป็นนของที่สัมภาระย่อยคุมกันเข้า, เป็นอย่างนี้ทั้งส่วนอันล่วงไปแล้ว ทั้งส่วนยังเป็นไปอยู่ คนผู้ไม่ได้เคยสดับย่อมเห็นเป็นสิ่งเป็นอัน เป็นผู้เป็นคน และหลงรักลงชังในขันธ์นั้น, เหมือนคนผู้ไม่ได้เป็นช่าง เห็นเป็นแต่รถแต่เรือน ถึงจะรู้บ้างก็ยังหยาบ. ต่อนายช่างจึงจะเล็งเห็นละเอียดลงไปถึงสัมภาระ. ญาณนี้ย่อมนำ (กำจัด) ความหลงในขันธ์อันเป็นเหตุรักหรือชังเสีย.
ญาณที่ 2 ให้หยั่งรู้ว่าขันธ์นั้นแล ย่อมเป็นไปตามอำนาจแห่งธรรมดา, มีอันคุมกันเข้าเป็นสัตว์เป็นบุคคล แล้วภายหลังสลายจากกัน เป็นอย่างนี้เหมือนกันทั้งหมด, แต่ถึงอย่างนั้น ยังดีเลวงามไม่งาม ได้สุขได้ทุกข์ต่างกันอยู่, เป็นอย่างนี้เพราะกรรมที่ทำ.ญาณนี้ย่อมนำ (กำจัด) ความหลงในคติแห่งขันธ์อันเป็นเหตุสำคัญผิดด้วยประการต่าง ๆ เสีย.
ญาณที่ 3 ให้หยั่งรู้ขันธ์พร้อมทั้งอาการโดยความเป็นเหตุและผลเนื่องประพันธ์กันไป, สภาวะอย่างหนึ่งเป็นผลเกิดแต่เหตุอย่างหนึ่งแล้ว ซ้ำเป็นเหตุยังผลอย่างอื่นให้เกิดต่อไปอีกเล่า เหมือนลูกโซ่เกี่ยวคล้องกันเป็นสาย, บรรยายนี้เรียกปฏิจจสมุปบาท. ญาณนี้ย่อมนำ(กำจัด) ความหลงในธรรมดาเป็นเหตุเพลินในขันธ์อันประณีตเสีย ที่ท่านแสดงว่าเห็นอริยสัจ 4 มีทุกข์เป็นต้น และเป็นเหตุถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิง ที่ท่านแสดงว่าสิ้นอาสวะทั้งปวง.
ฝ่ายพระอาจารย์ผู้รจนาอรรถกถา แสดงธรรมพิเศษที่พระองค์ตรัสรู้โดยสังเขปเพียงสักว่าชื่อ แต่กล่าวประพฤติเหตุอันเป็นไปในวัน ตรัสรู้โดยพิสดารดังนี้ :-
ในเช้าวันนั้น นางสุชาดาบุตรีกุฎุมพีนายใหญ่แห่งชาวบ้าน เสนานิคม ณ ตำบลอุรุเวลา, ปรารถนาจะทำการบวงสรวงเทวดาหุงข้าปายาสคือข้าวสุก หุงด้วยน้ำนมโคล้วนเสร็จแล้ว จัดลงในถาดทองนำไปที่โพธิพฤกษ์. เห็นพระมหาบุรุษเสด็จนั่งอยู่ สำคัญว่าเทวดาจึงน้อมข้าวปายาสเข้าไปถวาย.1 ในเวลานั้นบาตรของพระองค์เผอิญอันตรธานหาย, พระองค์จึงทรงรับข้าวปายาสนั้นทั้งถาดด้วยพระหัตถ์ แล้วทอดพระเนตรแลดูนาง. นางทราบพระอาการจึงทูลถวายทั้งถาดแล้วกลับไป. พระมหาบุรุษทรงถือถาดข้าวปายาสเสด็จไปสู่ท่าแห่งแม่น้ำเนรัญชรา, สรงแล้วเสวยข้าวปายาสหมดแล้วทรงลอยถาดเสียในกระแสน้ำ. พระองค์เสด็จประทับอยู่ในดงไม้สาละใกล้ฝั่งแม่น้ำในกลางวัน, ครั้นเวลาเย็น เสด็จมาสู่ต้นพระมหาโพธิ ทรงรับหญ้าของคนหาบหญ้า ชื่อโสตถิยะ ถวายในระหว่างทาง, ทรงลาดหญ้าต่างบัลลังก์ ณ ควงพระมหาโพธิด้านปราจีนทิศแล้ว เสด็จนั่งขัดสมาธิ ผันพระพักตร์ทางบุรพทิศ ผันพระปฤษฎางค์ ทางลำต้นพระมหาโพธิ, ทรงอธิษฐานในพระหฤทัยว่า "ยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด จักไม่เสด็จลุกขึ้นเพียงนั้น พระมังสะและพระโลหิตจะแห้งเหือดไป เหลือแต่พระตจะ พระนหารุ และพระอัฐิก็ตามที." ในสมัยนั้น พระยามารเกรงว่า พระมหาบุรุษจะพ้นจากอำนาจแห่งตน จึงยกพลเสนามาผจญ, แสดงฤทธิ์มีประการต่าง ๆ เพื่อจะยังพระมหาบุรุษให้ตกพระหฤทัยกลัวแล้วจะเสด็จหนีไป. พระองค์ทรงนึกถึงพระบารมี 10 ทัศ ที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ตั้งมหาปฐพีไว้ในที่เป็นพยาน เสี่ยงพระบารมี 10 ทัศนั้นเข้าช่วยผจญ ยังพระยามารกับเสนาให้ปราชัย แต่ในเวลาพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดงคตแล้วบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยาม, ได้ทิพพจักขุญาณในมัชฌิมยาม,ทรงใช้พระปัญญาพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งฝ่ายเกิดฝ่ายดับ สาวหน้าสาวกลับไปมาในปัจฉิมยาม, ก็ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณในเวลาอรุณขึ้น.
ในประพฤติเหตุเหล่านี้ ข้อที่จะพึงปรารภถึง มีแต่เรื่องผจญมาร. สันนิษฐานเห็นว่า เป็นเรื่องแสดงน้ำพระหฤทัยของพระมหาบุรุษโดยบุคคลาธิฏฐาน คือกล่าวเปรียบด้วยตัวบุคคล. กิเลสกามเปรียบด้วยพระยามาร, กิเลสอันเป็นฝ่ายเดียวกัน เปรียบด้วยเสนามาร. กิเลสเหล่านั้น เกิดขึ้นท่องเที่ยวอยู่ในจิตของพระมหาบุรุษ ให้นึกถึงความเสวยสุขสมบัติในปางหลังและทวนกลับ เปรียบด้วยพระยามารยกพลเสนามาผจญ. พระบารมี 10 ทัศนั้น คือ ทาน 1 ศีล 1 เนกขัมมะ คือความออกจากกามได้แก่บรรพชา 1 ปัญญา 1 วิริยะ 1 ขันติ 1 ความสัตย์ 1 อธิฏฐาน คือความมั่นคง 1 เมตตา 1 อุเบกขาคือความวางเฉยได้ 1 พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญพระบารมีเหล่านี้มา ทรงนึกถึงแล้ว ทำพระหฤทัยให้หนักแน่น เปรียบด้วยตั้งมหาปฐพี ไว้ในที่เป็นพยาน, ทรงเอาพระคุณสมบัติเห็นปานนั้น มาหักพระหฤทัยห้ามความคิดกลับหลังเสียได้เป็นเด็ดขาด เปรียบด้วยเสี่ยงพระบารมี ผจญมารได้ชัยชนะ. เรื่องนี้ได้ถอดใจความแสดงโดยธัมมาธิฏฐานกล่าวตามสภาพ จะพึงมีเช่นนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้พระปัญญาตรัสรู้ธรรมพิเศษ เป็นเหตุถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสาสวะจึงได้พระนามว่า “อรหํ” และตรัสรู้ชอบโดยลำพังพระองค์เอง จึงได้พระนามว่า “สมฺมาสมฺพุทฺโธ” 2 บทนี้เป็นพระนามใหญ่ของพระองค์ ได้โดยคุณนิมิตอย่างนี้แล