ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

 

ตรัสรู้

            ในการตรัสรู้นั้นมีข้อความในหนังสือพุทธประวัติดังนี้ นับแต่บรรพชามา  6  ปีล่วงแล้ว  จึงได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ  คือได้พระปัญญารู้ธรรมพิเศษ  เป็นเหตุพอพระหฤทัยว่า  "รู้ละ" ในราตรีแห่งวิศาขปุรณมี  ดิถีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงวิศาขนักขัตฤกษ์  ที่ใต้ร่มไม้อัสสัตถพฤกษ์โพธิใบ  ในปีก่อนพุทธศก 45.  
             พระองค์ทรงรู้เห็นธรรมอะไร  จึงพอพระหฤทัยว่ารู้  และหยุดการแสวงต่อไป  และเริ่มสั่งสอนผู้อื่น ?  ทางดีในอันสันนิษฐานข้อนี้คือกระแสพระธรรมเทศนาของพระองค์  ที่ได้ประทานไว้ในที่นั้น ๆ ในกาลนั้น ๆ  มีปฐมเทศนาเป็นอาทิ. ฝ่ายพระมัชฌิมภาณกาจารย์แสดงความตรัสรู้ของพระองค์ไว้ดังนี้ 
            ทรงเจริญสมถภาวนา  ทำจิตให้เป็นสมาธิ  คือแน่แน่วบริสุทธิ์ปราศจากอุปกิเลส  คืออารมณ์เครื่องเศร้าหมอง  สุขุมเข้าโดยลำดับนับว่าได้บรรลุฌานที่ 1  ที่ 2  ที่ 3  ที่ 4,1  แล้วยังญาณอันเป็นตัวปัญญา  3  ประการให้เกิดขึ้นในยามทั้ง 3  แห่งราตรีตามลำดับกัน.
           ญาณ 3  นั้น  ที่ 1  บุพเพนิวาสานุสสติญาณ  แปลว่าความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน,  ท่านแจกอรรถโดยอาหารระลึกชาติหนหลังของตนได้. ที่ 2  จุตูปปาตญาณ  แปลว่า ความรู้ในจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย,  ท่านแจกอรรถโดยอาการรู้สัตว์ทั้งหลายอันดีเลวต่างกันว่าเป็นด้วยอำนาจกรรม,  อีกนัยหนึ่งเรียกว่าทิพพจักขุญาณ  แปลว่าความรู้ดุจดวงตาทิพย์.  ที่ 3  อาสวักขยญาณแปลว่าความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ  คือเครื่องเศร้าหมองอันหมักหมมอยู่ในจิตสันดาร,  ท่านแจกอรรถโดยอาการกำหนดรู้ขันธ์พร้อมทั้งอาการ โดยความเป็นเหตุและเป็นผลเนื่องต่อกันไป,  จบลงด้วยรู้อริยสัจ  คือความจริงอย่างสูง 4 ประการ  คือรู้ทุกข์ 1  รู้ทุกขสมุทัย  เหตุเกิดแห่งทุกข์ 1  รู้ทุกขนิโรธ  ความดับแห่งทุกข์ 1  รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  ทางดำเนินถึงความดับทุกข์ 1.  หรือกล่าวสั้นว่ารู้ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค,  และรู้อาสวะ  เหตุเกิดอาสวะ  ความดับอาสวะ  ทางดำเนินถึงความดับอาสวะ  เมื่อพระองค์รู้เห็นอย่างนี้ จิตก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง  ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.

ญาณทั้ง 3  นั้นพึงเห็นโดยนัยดังนี้
           ญาณที่ต้น  ให้หยั่งรู้อัตภาพโดยเป็นแต่สภาวะอย่างหนึ่ง ๆ  คุมกันเข้า  ได้ชื่อว่าขันธ์  เช่นธาตุ 4  ปฐวี  อาโป  เตโช  วาโย คุมกันเป็นเป็นขันธ์อันหนึ่ง  เรียกรูป,  ความรู้สึกสุขทุกข์หรือเฉย ๆ  เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง  เรียกเวทนา,  ความจำนั่นจำนี่ได้  เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง  เรียกสัญญา,  ความนึกความคิด  เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง  เรียกสังขาร,ความรู้ทางทวาร 5 ภายนอกและจิตอันเป็นพนักงานผู้นึกผู้คิด  เป็นขันธ์อีกอันหนึ่ง  เรียกวิญญาณ;  โดยบรรยายนี้เป็นปัญจขันธ์.  แม้ขันธ์หนึ่ง ๆ  ก็เป็นมาแต่สภาวะย่อย ๆ  คุมกันเข้าอีก,  เหมือนรถหรือเรือน  เป็นนของที่สัมภาระย่อยคุมกันเข้า,  เป็นอย่างนี้ทั้งส่วนอันล่วงไปแล้ว  ทั้งส่วนยังเป็นไปอยู่  คนผู้ไม่ได้เคยสดับย่อมเห็นเป็นสิ่งเป็นอัน  เป็นผู้เป็นคน  และหลงรักลงชังในขันธ์นั้น,  เหมือนคนผู้ไม่ได้เป็นช่าง  เห็นเป็นแต่รถแต่เรือน  ถึงจะรู้บ้างก็ยังหยาบ. ต่อนายช่างจึงจะเล็งเห็นละเอียดลงไปถึงสัมภาระ.  ญาณนี้ย่อมนำ (กำจัด) ความหลงในขันธ์อันเป็นเหตุรักหรือชังเสีย.  

 


             ญาณที่ 2  ให้หยั่งรู้ว่าขันธ์นั้นแล  ย่อมเป็นไปตามอำนาจแห่งธรรมดา,  มีอันคุมกันเข้าเป็นสัตว์เป็นบุคคล  แล้วภายหลังสลายจากกัน  เป็นอย่างนี้เหมือนกันทั้งหมด,  แต่ถึงอย่างนั้น  ยังดีเลวงามไม่งาม  ได้สุขได้ทุกข์ต่างกันอยู่,  เป็นอย่างนี้เพราะกรรมที่ทำ.ญาณนี้ย่อมนำ (กำจัด) ความหลงในคติแห่งขันธ์อันเป็นเหตุสำคัญผิดด้วยประการต่าง ๆ  เสีย.
            ญาณที่ 3 ให้หยั่งรู้ขันธ์พร้อมทั้งอาการโดยความเป็นเหตุและผลเนื่องประพันธ์กันไป,  สภาวะอย่างหนึ่งเป็นผลเกิดแต่เหตุอย่างหนึ่งแล้ว  ซ้ำเป็นเหตุยังผลอย่างอื่นให้เกิดต่อไปอีกเล่า  เหมือนลูกโซ่เกี่ยวคล้องกันเป็นสาย,  บรรยายนี้เรียกปฏิจจสมุปบาท.  ญาณนี้ย่อมนำ(กำจัด) ความหลงในธรรมดาเป็นเหตุเพลินในขันธ์อันประณีตเสีย ที่ท่านแสดงว่าเห็นอริยสัจ 4  มีทุกข์เป็นต้น  และเป็นเหตุถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิง  ที่ท่านแสดงว่าสิ้นอาสวะทั้งปวง.
            ฝ่ายพระอาจารย์ผู้รจนาอรรถกถา  แสดงธรรมพิเศษที่พระองค์ตรัสรู้โดยสังเขปเพียงสักว่าชื่อ  แต่กล่าวประพฤติเหตุอันเป็นไปในวัน ตรัสรู้โดยพิสดารดังนี้ :-
            ในเช้าวันนั้น  นางสุชาดาบุตรีกุฎุมพีนายใหญ่แห่งชาวบ้าน เสนานิคม  ณ ตำบลอุรุเวลา, ปรารถนาจะทำการบวงสรวงเทวดาหุงข้าปายาสคือข้าวสุก  หุงด้วยน้ำนมโคล้วนเสร็จแล้ว  จัดลงในถาดทองนำไปที่โพธิพฤกษ์.  เห็นพระมหาบุรุษเสด็จนั่งอยู่  สำคัญว่าเทวดาจึงน้อมข้าวปายาสเข้าไปถวาย.1  ในเวลานั้นบาตรของพระองค์เผอิญอันตรธานหาย,  พระองค์จึงทรงรับข้าวปายาสนั้นทั้งถาดด้วยพระหัตถ์  แล้วทอดพระเนตรแลดูนาง.  นางทราบพระอาการจึงทูลถวายทั้งถาดแล้วกลับไป.  พระมหาบุรุษทรงถือถาดข้าวปายาสเสด็จไปสู่ท่าแห่งแม่น้ำเนรัญชรา,  สรงแล้วเสวยข้าวปายาสหมดแล้วทรงลอยถาดเสียในกระแสน้ำ.  พระองค์เสด็จประทับอยู่ในดงไม้สาละใกล้ฝั่งแม่น้ำในกลางวัน,  ครั้นเวลาเย็น  เสด็จมาสู่ต้นพระมหาโพธิ ทรงรับหญ้าของคนหาบหญ้า  ชื่อโสตถิยะ  ถวายในระหว่างทาง,  ทรงลาดหญ้าต่างบัลลังก์  ณ  ควงพระมหาโพธิด้านปราจีนทิศแล้ว เสด็จนั่งขัดสมาธิ ผันพระพักตร์ทางบุรพทิศ  ผันพระปฤษฎางค์ ทางลำต้นพระมหาโพธิ,  ทรงอธิษฐานในพระหฤทัยว่า  "ยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด  จักไม่เสด็จลุกขึ้นเพียงนั้น  พระมังสะและพระโลหิตจะแห้งเหือดไป  เหลือแต่พระตจะ  พระนหารุ  และพระอัฐิก็ตามที."  ในสมัยนั้น  พระยามารเกรงว่า  พระมหาบุรุษจะพ้นจากอำนาจแห่งตน  จึงยกพลเสนามาผจญ,  แสดงฤทธิ์มีประการต่าง ๆ  เพื่อจะยังพระมหาบุรุษให้ตกพระหฤทัยกลัวแล้วจะเสด็จหนีไป.  พระองค์ทรงนึกถึงพระบารมี 10  ทัศ  ที่ได้ทรงบำเพ็ญมา  ตั้งมหาปฐพีไว้ในที่เป็นพยาน  เสี่ยงพระบารมี 10  ทัศนั้นเข้าช่วยผจญ  ยังพระยามารกับเสนาให้ปราชัย  แต่ในเวลาพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดงคตแล้วบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยาม,  ได้ทิพพจักขุญาณในมัชฌิมยาม,ทรงใช้พระปัญญาพิจารณาปฏิจจสมุปบาท  ทั้งฝ่ายเกิดฝ่ายดับ  สาวหน้าสาวกลับไปมาในปัจฉิมยาม,  ก็ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณในเวลาอรุณขึ้น.


            ในประพฤติเหตุเหล่านี้  ข้อที่จะพึงปรารภถึง  มีแต่เรื่องผจญมาร.  สันนิษฐานเห็นว่า  เป็นเรื่องแสดงน้ำพระหฤทัยของพระมหาบุรุษโดยบุคคลาธิฏฐาน  คือกล่าวเปรียบด้วยตัวบุคคล.  กิเลสกามเปรียบด้วยพระยามาร,  กิเลสอันเป็นฝ่ายเดียวกัน  เปรียบด้วยเสนามาร. กิเลสเหล่านั้น  เกิดขึ้นท่องเที่ยวอยู่ในจิตของพระมหาบุรุษ  ให้นึกถึงความเสวยสุขสมบัติในปางหลังและทวนกลับ  เปรียบด้วยพระยามารยกพลเสนามาผจญ.  พระบารมี 10  ทัศนั้น  คือ  ทาน 1  ศีล 1 เนกขัมมะ  คือความออกจากกามได้แก่บรรพชา 1  ปัญญา 1  วิริยะ 1 ขันติ 1  ความสัตย์ 1  อธิฏฐาน  คือความมั่นคง 1  เมตตา 1  อุเบกขาคือความวางเฉยได้ 1  พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญพระบารมีเหล่านี้มา ทรงนึกถึงแล้ว  ทำพระหฤทัยให้หนักแน่น  เปรียบด้วยตั้งมหาปฐพี ไว้ในที่เป็นพยาน,  ทรงเอาพระคุณสมบัติเห็นปานนั้น  มาหักพระหฤทัยห้ามความคิดกลับหลังเสียได้เป็นเด็ดขาด  เปรียบด้วยเสี่ยงพระบารมี ผจญมารได้ชัยชนะ.  เรื่องนี้ได้ถอดใจความแสดงโดยธัมมาธิฏฐานกล่าวตามสภาพ  จะพึงมีเช่นนี้.
            พระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้พระปัญญาตรัสรู้ธรรมพิเศษ  เป็นเหตุถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสาสวะจึงได้พระนามว่า  “อรหํ”  และตรัสรู้ชอบโดยลำพังพระองค์เอง  จึงได้พระนามว่า  “สมฺมาสมฺพุทฺโธ”  2  บทนี้เป็นพระนามใหญ่ของพระองค์  ได้โดยคุณนิมิตอย่างนี้แล 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก