ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา อาพาธใดๆ ย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทรงสำราญ ไม่ลำบากพระกาย และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ซึ่งเสด็จอยู่ ภายในพระครรภ์มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดง ขาวหรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษผู้มีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นี้นั้นวางไว้ในมือแล้ว พิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่าง เจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวล ร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้น แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา อาพาธใดๆย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทรงสำราญ ไม่ลำบากพระกาย และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ผู้เสด็จอยู่ ณ ภายในพระครรภ์ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มี อินทรีย์ไม่บกพร่อง ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ แล้วได้ 7 วัน พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทิวงคตเสด็จเข้าถึงชั้นดุสิต ข้อนี้ เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้หญิงอื่นๆ บริหารครรภ์ 9 เดือนบ้าง 10 เดือนบ้างจึงคลอด พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเหมือนอย่างนั้นไม่พระมารดาของพระโพธิสัตว์บริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ครบ 10 เดือนถ้วนจึงประสูติ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่ประสูติเหมือนหญิงอื่นๆ ซึ่งนั่งหรือนอนคลอด ส่วนพระมารดาของ พระโพธิสัตว์ประทับยืนประสูติพระโพธิสัตว์ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา พวกเทวดารับก่อน พวกมนุษย์รับทีหลัง ข้อนี้ เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ออกจากพระครรภ์พระมารดาและยังไม่ทันถึงแผ่นดิน เทวบุตร 4 องค์ประคองรับ พระโพธิสัตว์นั้นแล้ว วางไว้เบื้องหน้าพระมารดา กราบทูลว่า ขอจงมีพระทัยยินดีเถิดพระเทวี พระโอรสของพระองค์ที่เกิดมีศักดิ์ใหญ่ นี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ออกจากพระครรภ์พระมารดา เสด็จออกอย่างง่ายดายทีเดียว ไม่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต ไม่เปรอะเปื้อนด้วยอสุจิ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แก้วมณีอันบุคคล วางลงไว้ในผ้ากาสิกพัสตร์ แก้วมณีย่อมไม่ทำผ้ากาสิกพัสตร์ให้เปรอะเปื้อนเลย ถึงแม้ผ้ากาสิกพัสตร์ก็ไม่ทำแก้วมณีให้เปรอะเปื้อน เพราะเหตุไรจึงเป็นดังนั้น เพราะสิ่งทั้งสองเป็นของบริสุทธิ์ แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกัน แล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา เสด็จออกอย่าง ง่ายดายทีเดียว ไม่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปรอะเปื้อน ด้วยโลหิต ไม่เปรอะเปื้อนด้วยอสุจิ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา ธารน้ำย่อมปรากฏจากอากาศสองธาร เย็นธารหนึ่ง ร้อนธารหนึ่งสำหรับกระทำอุทกกิจ แก่พระโพธิสัตว์และพระมารดา ข้อนี้ เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้ว ได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้าน ทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว และเมื่อฝูงเทพดากั้นเศวตฉัตรตามเสด็จอยู่ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่าอันองอาจว่า เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลกความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้ มี ดังนี้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้เมื่อใดพระโพธิสัตว์ เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้นในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ แสงสว่างอันยิ่ง ไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ช่องว่างซึ่งอยู่ที่สุด โลกมิได้ถูกอะไรปกปิด ที่มืดมิดก็ดี สถานที่ที่พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านี้ ซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากปานนี้ส่องแสงไปไม่ถึงก็ดี ในที่ทั้งสองชนิดนั้น แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ถึงสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในสถานที่เหล่านั้นก็จำกันและกันได้ ด้วยแสงสว่างนั้นว่า พ่อเฮ้ย ได้ยินว่าถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน และหมื่นโลกธาตุนี้ย่อมหวั่นไหวสะเทื้อนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ (ที. มหา.10/13-27/10.) การพรรณนารูปกายสมบัติของพระองค์ว่า มีพระลักษณะต้องด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ ซึ่งมีบรรยายไว้ในมหาปทานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10 /29/13) มีข้อความดังนี้
1. ขอเดชะ ก็ พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี (เรียบเสมอ) ข้าแต่สมมติเทพ การที่พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี นี้เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น ฯ
2. ณ พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง 2 ของพระราชกุมารนี้ มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพันมีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ข้าแต่สมมติเทพ แม้การที่พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง 2 ของพระราชกุมารนี้มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง นี้ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น ฯ
3. มีส้นพระบาทยาว ฯ
4. มีพระองคุลียาว ฯ
5. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม ฯ
6. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย ฯ
7. มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ ฯ
8. มีพระชงฆ์รีเรียวดุจแข้งเนื้อทราย ฯ
9. เสด็จสถิตยืนอยู่มิได้น้อมลง เอาฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบคลำได้ถึง พระชาณุทั้งสอง ฯ
10. มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ฯ
11. มีพระฉวีวรรณดุจวรรณแห่งทองคำ คือ มีพระตจะประดุจหุ้มด้วยทอง ฯ
12. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด ธุลีละอองจึงมิติดอยู่ในพระกายได้ ฯ
13 มีพระโลมชาติเส้นหนึ่งๆ เกิดในขุมละเส้นๆ ฯ
14. มีพระโลมชาติที่มีปลายช้อยขึ้นข้างบน มีสีเขียว มีสีเหมือนดอกอัญชัญขดเป็นกุณฑลทักษิณาวัฏ ฯ
15. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม ฯ
16. มีพระมังสะเต็มในที่ 7 สถาน ฯ
17. มีกึ่งพระกายท่อนบนเหมือนกึ่งกายท่อนหน้าของสีหะ ฯ
18. มีระหว่างพระอังสะเต็ม ฯ
19. มีปริมณฑลดุจไม้นิโครธ วาของพระองค์เท่ากับพระกายของพระองค์ พระกายของพระองค์เท่ากับวาของพระองค์ ฯ
20. มีลำพระศอกลมเท่ากัน ฯ
21. มีปลายเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารอันดี ฯ
22. มีพระหนุดุจคางราชสีห์ ฯ
23. มีพระทนต์ 40 ซี่ ฯ
24. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน ฯ
25. มีพระทนต์ไม่ห่าง ฯ
26. มีพระทาฐะขาวงาม ฯ
27. มีพระชิวหาใหญ่ ฯ
28. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม ตรัสมีสำเนียงดังนกการวิก ฯ
29. มีพระเนตรดำสนิท (ดำคม) ฯ
30. มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค ฯ
31. มีพระอุณณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างแห่งขนง มีสีขาวอ่อนควร เปรียบด้วยนุ่น ฯ
32. มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ ข้าแต่สมมติเทพ แม้การที่พระราชกุมารนี้ มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์นี้ ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น ฯ
ขอเดชะ พระราชกุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เหล่านี้ ซึ่งมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่นคือถ้าครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร 4 เป็นขอบเขต ทรงชำนะแล้ว มีราชอาณาอันรจนาไว้ในตำหรับของ พราหมณ์ และมีทำนายไว้ว่า ท่านผู้ประกอบด้วยลักษณะเห็นปานนั้น ย่อมมีคติเป็น 2, ถ้าได้ครองฆราวาส จัดได้เป็นจักรพรรดิราชครองแผ่นดิน มีสมุทรสาคร 4 เป็นขอบเขต, ถ้าออกทรงผนวชจัดได้ตรัสเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาเอกในโลก.
พระศาสดาได้เสด็จอุบัติมาทรงทำอุปการะอันยิ่งใหญ่แก่โลกจึงได้มีอภินิหารบ้างหมือนกัน อันพระคันถรจนาจารย์พรรณนาไว้อย่างนี้. เหตุมีอภินิหารเหล่านี้ก็น่าจะมีหลายทาง และค่อยมีมาโดยลำดับ. ทางหนึ่งคือเรื่องกาพย์, จินตกวีผู้ประพันธ์แต่งขยายเรื่องจริงให้เขื่อง เพื่อต้องการความไพเราะในเชิงกาพย์ มีตัวอย่างจักกล่าวถึงในข้างหน้า.
ฝ่ายอสิตดาบส (อีกอย่างหนึ่งเรียกกาฬเทวิลดาบส) ผู้อาศัยอยู่ข้างเขาหิมพานต์ ผู้คุ้นเคยและเป็นที่นับถือของราชสกุล, ได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะประสูติใหม่ จึงเข้าไปเยี่ยม. พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ ตรัสสั่งให้เชิญเข้าไปนั่ง ณ อาสนะอันสมควรแล้ว ทรงอภิวาทและปราศรัยตามควรแล้ว, ทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อจะให้นมัสการพระดาบส. พระดาบสเห็นพระโอรสนั้นมีลักษณะต้องด้วยตำหรับมหาบุรุษลักษณะ ซึ่งที่คำทำนายคติไว้โดยส่วนสองดังกล่าวแล้วนั้น, ครั้น เห็นอัศจรรย์อย่างนั้นแล้ว มีความเคารพนับถือในพระราชโอรสนั้นมาก ลุกขึ้นกราบลงที่พระบาททั้งสองของพระโอรสนั้นด้วยศีรษะของตนแล้ว, กล่าวคำทำนายลักษณะของพระโอรสนั้น ตามมหาบุรุษลักษณะพยากรณศาสตร์นั้นแล้ว ถวายพระพรลากลับไปอาศรมแห่งตน.
ฝ่ายราชสกุล เห็นดาบสผู้เป็นที่นับถือแห่งตน ลงกราบที่พระบาทของพระราชโอรสแสดงความนับถือ และได้ฟังคำพยากรณ์อย่างนั้น ก็มีจิตนับถือในพระราชโอรสนั้นยิ่งนัก, ยอมถวายโอรสของตน ๆ เป็นบริวารสกุลละองค์ ๆ ส่วนพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาก็พระราชทานบริหาร, จัดพี่เลี้ยงนางนมคอยระวังรักษาพระราชโอรสเป็นนิตยกาล.
เมื่อประสูติแล้วได้ 5 วัน, พระองค์โปรดให้ชุมนุมพระญาติวงศ์และเสนามาตย์พร้อมกัน, เชิญพราหมณ์ร้อยแปดคนมาฉันโภชนาหารแล้ว ทำมงคลรับพระลักษณะและขนานพระนามว่า “สิทธัตถกุมาร แปลว่า มีความต้องการสำเร็จ” น่าจะหมายความว่า ได้พระโอรสเป็นแรกสมหวังแต่พระอรรถกถาจารย์แก้ความว่าบริบูรณ์ จะต้องการอะไรได้หมด.
แต่มหาชนมักเรียกตามพระโคตรว่า “โคตมะ” ฝ่ายพระนางเจ้ามายาผู้เป็นมารดา พอประสูติพระราชโอรสแล้วได้ 7 วันก็สิ้นพระชนม์, พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงมอบพระราชโอรสนั้น แก่พระนางปชาบดีโคตมีพระมาตุจฉาเลี้ยงต่อมา. ภายหลังพระนางนั้นมีพระราชบุตรพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า “นันทกุมาร” มีพระราชบุตรพระองค์หนึ่ง ทรงนามว่า "รูปนันทา" แม้ถึงอย่าง นั้น ก็ไม่ทรงนำพาในที่จะทำนุบำรุงให้ยิ่งกว่าสิทธัตถกุมาร