ที่มาและความสำคัญของปัญหาที่ทำการวิจัย
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระสงฆ์ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแก่พระภิกษุในยุคแรกก่อนที่จะส่งไปประกาศศาสนาความว่า “พวกเธอจงเที่ยวจาริก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย[1] นโยบายในการส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาเป็นครั้งแรกของพระพุทธเจ้าในครั้งนั้นทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักของประชาชน พระสงฆ์สาวกผู้ไปปฏิบัติหน้าที่ในการประกาศพระศาสนาในกาลต่อมาเรียกว่า “พระศาสนทูต พระสมณทูต” ปัจจุบันเรียกว่า “พระธรรมทูต” ซึ่งหมายถึงพระภิกษุผู้ทำหน้าที่จาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกล ทั้งในและต่างประเทศ บทบาทด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาโดยการใช้สื่อที่แตกต่างกัน ยุคแรกใช้วิธีมุขปาฐะ ต่อมาพัฒนาเป็นจารึกตามผนังถ้ำ เป็นคัมภีร์ เป็นเอกสาร เป็นหนังสือ ตำรา เผยแผ่ทางวิทยุโทรทัศน์ และปัจจุบันได้พัฒนาวิธีการเผยแผ่โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ บทบาทด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตก็ได้รับการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในแต่ละยุคสมัย
งานพระธรรมทูตในประเทศไทย หรือโครงการพระธรรมทูตที่ต้องการศึกษานี้ ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 เนื่องจากกรมการศาสนามีความประสงค์ที่จะฟื้นฟูงานพระธรรมทูต โดยการนำเอารูปแบบการปฏิบัติงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพระพุทธเจ้าเริ่มส่งพระสาวกออกเผยแผ่พระพุทธศาสนามาใช้ ตามความมุ่งหวังที่ปรากฏในคำกราบบังคับทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่อธิบดีกรมการศาสนา (พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์) ไปปฏิบัติงานพระศาสนาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีข้อความบางตอนว่า “เนื่องด้วยกรมการศาสนา ได้ประมวลข้อสังเกตของบุคคลหลายฝ่ายซึ่งมีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติศาสนาได้สอดคล้องต้องกันว่าทุกวันนี้ประชาชนพลเมืองจำนวนมาก มีความอุตสาหะวิริยะที่จะปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสนาลดน้อยลง ความเลื่อมใสศรัทธาในพระสงฆ์พุทธสาวกก็ลดถอย ทั้งยังมีผู้นำเอาลัทธิอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อความมั่นคงของประเทศชาติศาสนา และต่อความสงบสุขของประชาชนมาเผยแพร่ชักจูงใจอีกด้วย เพื่อป้องกันความเสื่อมทางด้านจิตใจของประชาชนพลเมืองในอนาคต กรมการศาสนาจึงวางแผนที่จะฟื้นฟูสัมมาปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน...โดยส่งพระธรรมทูตออกเผยแผ่พระศาสนาแบ่งเป็น 9 สาย ตามแบบอย่างการส่งพระธรรมทูตออกประกาศพระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช...[2]
ในการจัดทำโครงการนี้ กรมการศาสนาปรารถนาจะให้เป็นงานของพระสงฆ์ในความอุปถัมภ์ของกรมการศาสนา แต่เนื่องจากเป็นโครงการใหม่และต้องการจะทดลองทำเพื่อศึกษาให้ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นก่อน จึงไม่ได้แต่งตั้งเจ้าคณะตามรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ขึ้นรับผิดชอบทั่วประเทศ ได้ใช้วิธีการอาราธนาพระเถระผู้ใหญ่เป็นหัวหน้าสายจัดพระธรรมทูตออกแยกย้ายจาริกเป็น 7 สายไปก่อน[3]
จนกระทั้งสองปีผ่านไปปรากฏว่า การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยดี และได้ผลเกินคาด กรมการศาสนาพิจารณาเห็นว่าควรจะได้จัดองค์กรการบริหารแต่ละระดับให้สมบูรณ์ มีเจ้าคณะรับผิดชอบแต่ละระดับอย่างเต็มรูปแบบ จึงได้อาราธนาพระเถระหัวหน้าพระธรรมทูต ทุกสายมาประชุมปรึกษาหารือในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2508 ที่ประชุมมีความเห็นพ้องต้องกันว่า สถานการณ์ของโลกปัจจุบันยังเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นจะต้องดำเนินงานพระธรรมทูตให้ได้ผลดียิ่งขึ้น และควรให้รับโครงการนี้เป็นงานของคณะสงฆ์ โดยเสนอให้คณะกรรมการมหาเถรสมาคมพิจารณาลงมติรับรองและมอบหมายให้พระเถระรูปใดรูปหนึ่งเป็นแม่กองดำเนินการ กรมการศาสนาจึงได้ร่างแผนงานโดยสังเขปของ “โครงการเผยแพร่ศีลธรรมโดยพระธรรมทูต” ขึ้น เพื่อประกอบการพิจารณาและกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อเสนอที่ประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ในที่สุดคณะกรรมการมหาเถรสมาคมได้มีมติรับไว้เป็นโครงการถาวรและเป็นงานของพระสงฆ์ทั้งสองนิกายและมอบให้ สมเด็จพระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นแม่กองงานพระธรรมทูตมหาเถรสมาคมได้มีมติให้ใช้ตำหนักล่าง วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่ตั้งของสำนักฝึกอบรมธรรมทูตไปต่างประเทศ และต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม 2509 จึงได้ประกอบพิธีเปิดการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศรุ่นที่ 1 ขึ้น ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานในพิธี
ในส่วนของคณะกรรมการอำนวยการฝึกอบรม ได้ประชุมกันพิจารณากำหนดหลักการและวิธีการฝึกอบรมหลายครั้ง และตั้งได้อนุกรรมการขึ้นพิจารณาหลักสูตรการอบรมขึ้นคณะหนึ่ง ได้ตกลงกำหนดสรุปเป็นหลักใหญ่ ๆ เพื่อบริหารงานคือ
1. การฝึกอบรม ให้มีทั้งในขั้นปริยัติและขั้นปฏิบัติ และโดยเฉพาะให้มีการฝึกให้สามารถใช้ภาษาได้ดี และให้มีความรู้ทางศาสนาและทางอื่นที่ควรรู้เป็นวิชาประกอบพอเพียง และฝึกทางปฏิบัติให้ถึงระดับที่สมควร
2.ในขั้นปริยัติที่จะเปิดสถานฝึกอบรม ให้เลือกพระภิกษุผู้สำเร็จชั้นปริญญาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์สองแห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยแห่งละ 10 รูป ด้วยมอบให้เลขาธิการมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่งนั้นเป็นผู้เลือกเสนอ กับให้กรรมการฝึกอบรมฝ่ายบรรพชิตซึ่งมีอยู่ (ในระยะแรก) 6 รูปเลือกพระภิกษุอีกท่านละ1 รูป โดยให้เลือกพระภิกษุผู้มีระดับความรู้ชั้นปริญญาสงฆ์หรือเทียบเท่า จึงรวมพระภิกษุผู้เข้ารับการฝึก 26 รูป ส่วนในขั้นปฏิบัติ นอกจากจะมีการฝึกพระภิกษุทั้ง 26 รูปในทางปฏิบัติด้วยแล้ว ได้ตกลงขอให้กรรมการฝ่ายบรรพชิตเลือกพระภิกษุผู้เป็นนักปฏิบัติโดยเฉพาะไว้อีกด้วย จะได้มีกำหนดการอาราธนามาร่วมปฏิบัติอบรมเพื่อให้อยู่ในแนวที่รับรองต้องกันในโอกาสต่อไปเพราะในการออกไปปฏิบัติศาสนกิจนั้น ควรจะมีพระภิกษุผู้มีความรู้สามารถทั้งทางปริยัติและปฏิบัติคู่กันไป ทั้งควรจะปฏิบัติด้วยตนเองและแสดงแก่ผู้อื่นในแนวเดียวกัน ตามแบบพระสงฆ์ไทยสายเถรวาททั้งหมด
3.หลักสูตรที่กำหนดในการฝึกอบรม ได้กำหนดวิชาต่าง ๆ หลายแขนงในระดับที่สูงกว่าขั้นปริญญาตามที่ได้ศึกษามาแล้วในมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งนั้น แต่สรุปว่าให้อยู่ในหลักการฝึกดังนี้คือ ฝึกการถ่ายทอด การวางตัว และการวางโครงการดำเนินงาน เพราะการถ่ายทอดเป็นเรื่องสำคัญของการปฏิบัติงาน ทั้งในด้านภาษาทั้งในด้านวิชาจะต้องมีความสามารถที่จะถ่ายทอดจะต้องมีการวางตัวดี อันหมายถึงการปฏิบัติธรรมวินัยดี ตลอดถึงการปฏิบัติวางตัวดีโดยประการอื่น และจะต้องมีโครงการปฏิบัติอันเหมาะสม ในการนี้ได้กำหนดเชิญผู้ทรงคุณวุฒิทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศหลายท่านมาร่วมเป็นวิทยาทายก ซึ่งก็ได้รับความร่วมศรัทธาเป็นอันดี
4. สถานที่ฝึกอบรม ตกลงให้ใช้ที่ชั้นบนแห่งตำหนักเดิมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่เรียกว่า “ตำหนักล่าง” ซึ่งใช้เป็นที่ทำงานและที่ประชุมมานานแล้ว และมีที่ว่างพอเป็นที่ใช้ฝึกอบรมได้ ทั้งนี้เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงฟื้นฟูส่งเสริมการศึกษาและการปกครองคณะสงฆ์ให้มีระดับสูงขึ้นเป็นอันมาก ดังที่ได้ปรากฏเป็นที่รับรองยกย่องนับถือกันทั่วไป การที่พระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันเจริญขึ้นด้วย การศึกษาและการปฏิบัติย่อมกล่าวได้ว่า เนื่องจากพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น แม้งานเกี่ยวกับพระธรรมทูตในบัดนี้ ย่อมเนื่องมาจากพระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่านเช่นเดียวกัน ฉะนั้นการเปิดฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศขึ้นเป็นสถาบันครั้งแรก ณ ตำหนักที่พระองค์ท่านเคยประทับ ย่อมจะเป็นอนุสติถึงพระกรุณาธิคุณ ซึ่งยังปกแผ่อยู่เป็นที่พึ่งต้านทานอุปสรรคทั้งปวง ทางวัดบวรนิเวศวิหารได้อนุญาตให้ใช้ได้ตามต้องการ
5. ระยะการฝึกอบรม กำหนดหนึ่งปีกับหกเดือน และจะมีการฝึกปฏิบัติงานเหมือนอย่างไปปฏิบัติงานในต่างประเทศจริง กับการฝึกปฏิบัติทางจิตใจในอรัญญิกาวาสในระยะต่าง ๆ อีกด้วย”[4]
การฝึกอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศได้จัดขึ้นร่วมกันทั้งสองนิกายในระหว่างปี พ.ศ. 2509 ถึง พ.ศ.2510 และได้หยุดลงด้วยเหตุปัจจัยจำเป็นบางประการ แต่ยังมีพระสงฆ์ไทยไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่างประเทศมากขึ้น
ดังนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม จึงให้มีการรื้อฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาใหม่ โดยถวายให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระสงฆ์มหานิกาย และสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (ประจวบ กนฺตาจาโร) กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระสงฆ์ธรรมยุต พระมหาเถระทั้งสองได้มอบภาระงานนี้ แก่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัยโดยลำดับเป็นหน่วยงานดำเนินการ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ในส่วนของการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) นั้น หลังจากที่มหาเถรสมาคมได้มอบหมายให้สมเด็จพระพุทธชินวงศ์แล้วนั้น ก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักฝึกอบรม ฯ ประกอบด้วยพระเถรานุเถระจากคณะธรรมยุตและผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยและคฤหัสถ์ผู้ทรงคุณวุฒิ และในส่วนการฝึกอบรมพระธรรมทูตนั้น ก็ได้มอบมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยพิจารณาดำเนินการเรื่อยมา
ในส่วนของการบริหารงานของสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) นั้นหลังจากที่ได้มีการแต่งตั้งกรรมการบริหารแล้ว ก็ได้มีการออกระเบียบสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) ว่าด้วยการไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศสำหรับพระธรรมทูต พ.ศ. 2543 ซึ่งในระเบียบดังกล่าว ได้กำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติศาสนกิจของพระธรรมทูตในต่างประเทศของคณะสงฆ์ธรรมยุต กรอบการบริหารงาน ภาระงาน จริยาพระธรรมทูต และให้มีสำนักงานเลขานุการ สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) เพื่อเป็นศูนย์ประสานการดำเนินงานด้านการฝึกอบรม การบริหารและการเผยแผ่อย่างเป็นระบบและเป็นเอกภาพ
ในส่วนของหน่วยงานภายในของสำนักฝึกอบรมนั้น จากการที่ระเบียบสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตฯ ระบุให้มีสำนักงานเลขานุการ และให้มีตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร และให้มีรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นเลขานุการสำนักงานพร้อมมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำ ซึ่งนอกจากจะเป็นพระธรรมทูตที่ผ่านการฝึกอบรมและผ่านการปฏิบัติงานจากต่างประเทศมาร่วมปฏิบัติหน้าที่แล้ว ยังมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัยร่วมดำเนินการด้วย นอกจากนั้นยังจัดตั้งและขยายหน่วยงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานเช่น มีการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) ขึ้น ณ วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขนเมื่อ พ.ศ.2547 เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมทูตในภาควิชาการ และมีวัดที่ร่วมดำเนินการในการฝึกอบรมด้วยคือวัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกอบรมภาคจิตภาวนา และวัดเขาสุกิม ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ในพระองค์ ตำบลทำนบ อำเภอท่าตะโก จังหวัดนคสวรรค์ เป็นศูนย์ฝึกอบรมภาคนวกรรม
จากข้อมูลทางสถิติของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า ในปี พ.ศ.2556 มีพระธรรมทูตในประเทศ 4,892 พระธรรมทูตที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างประเทศ 1,390 รูป มีพระสงฆ์ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม 714 รูป พระสงฆ์ไทยเดินทางออกนอกประเทศ 8,606 รูป มีวัดไทยในต่างประเทศ 445 วัด[5] จากอดีตที่ผ่านมาพระธรรมทูตไทยทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาจนสามารถสร้างวัดขึ้นในต่างประเทศได้หลายแห่ง
จากสถานภาพและปัญหาของพระธรรมทูตไทยที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศในปัจจุบัน การศึกษาอบรมพระภิกษุเพื่อทำหน้าที่พระธรรมทูตยังไม่ตอบสนองความต้องการของการเผยแผ่พระพุทธในต่างประเทศ ดังนั้นต้องมีแนวทางในศึกษาอบรมที่เหมาะสม มีการการพัฒนาหลักสูตร มีรูปแบบการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศมราเหมาะสมกับความเจริญของโลกในปัจจุบัน
วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย
1. เพื่อศึกษาสถานภาพและปัญหาการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ(ธรรมยุต)
2. เพื่อหาแนวทางในการการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)
3. เพื่อสร้างรูปแบบการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)
ขอบเขตของโครงการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วางขอบเขตไว้ดังต่อไปนี้
1. ด้านเนื้อหาศึกษาจากเอกสารขั้นปฐมภูมิจากคัมภีร์พระพุทธศาสนา และศึกษาจากเอกสารขั้นทุติยภูมิคือเอกาสารทางวิชากรอื่น ๆ สัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มประชากรที่คัดเลือก
2. ด้านประชากร กรรมการที่ปรึกษา กรรมการบริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธรรมยุต)และพระธรรมทูตไทยที่ผ่านการฝึกอบรมจากสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) ที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในประเทศและในประเทศ
3. ขอบเขตด้านสถานที่ เป็นการวิจัยเฉพาะกรรมการที่ปรึกษา กรรมการบริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) และกลุ่มพระธรรมทูตไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในประเทศและในประเทศ
4. ขอบเขตด้านเวลา คือระยะเวลา 1 ปี (ระหว่าง 1 ตุลาคม 2561- 30 กันยายน 2562)
คำนิยามศัพท์
การศึกษาอบรม หมายถึง การฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)
พระธรรมทูต หมายถึง พระภิกษุที่ทำหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระธรรมทูตไปต่างประเทศ หมายถึง พระภิกษุที่ผ่านการอบรมจากสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้ทราบถึงสถานภาพและปัญหาการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ(ธรรมยุต)
2. ได้แนวทางในการการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)
3. ได้รูปแบบการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)