ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai


ที่มาและความสำคัญของปัญหาที่ทำการวิจัย

            การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระสงฆ์ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแก่พระภิกษุในยุคแรกก่อนที่จะส่งไปประกาศศาสนาความว่า “พวกเธอจงเที่ยวจาริก  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย[1] นโยบายในการส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาเป็นครั้งแรกของพระพุทธเจ้าในครั้งนั้นทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักของประชาชน พระสงฆ์สาวกผู้ไปปฏิบัติหน้าที่ในการประกาศพระศาสนาในกาลต่อมาเรียกว่า “พระศาสนทูต พระสมณทูต” ปัจจุบันเรียกว่า “พระธรรมทูต” ซึ่งหมายถึงพระภิกษุผู้ทำหน้าที่จาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกล ทั้งในและต่างประเทศ บทบาทด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาโดยการใช้สื่อที่แตกต่างกัน ยุคแรกใช้วิธีมุขปาฐะ ต่อมาพัฒนาเป็นจารึกตามผนังถ้ำ เป็นคัมภีร์ เป็นเอกสาร เป็นหนังสือ ตำรา เผยแผ่ทางวิทยุโทรทัศน์ และปัจจุบันได้พัฒนาวิธีการเผยแผ่โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ บทบาทด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตก็ได้รับการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในแต่ละยุคสมัย
        งานพระธรรมทูตในประเทศไทย หรือโครงการพระธรรมทูตที่ต้องการศึกษานี้ ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 เนื่องจากกรมการศาสนามีความประสงค์ที่จะฟื้นฟูงานพระธรรมทูต โดยการนำเอารูปแบบการปฏิบัติงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพระพุทธเจ้าเริ่มส่งพระสาวกออกเผยแผ่พระพุทธศาสนามาใช้  ตามความมุ่งหวังที่ปรากฏในคำกราบบังคับทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่อธิบดีกรมการศาสนา (พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์) ไปปฏิบัติงานพระศาสนาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  ซึ่งมีข้อความบางตอนว่า “เนื่องด้วยกรมการศาสนา ได้ประมวลข้อสังเกตของบุคคลหลายฝ่ายซึ่งมีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติศาสนาได้สอดคล้องต้องกันว่าทุกวันนี้ประชาชนพลเมืองจำนวนมาก มีความอุตสาหะวิริยะที่จะปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสนาลดน้อยลง ความเลื่อมใสศรัทธาในพระสงฆ์พุทธสาวกก็ลดถอย ทั้งยังมีผู้นำเอาลัทธิอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อความมั่นคงของประเทศชาติศาสนา และต่อความสงบสุขของประชาชนมาเผยแพร่ชักจูงใจอีกด้วย เพื่อป้องกันความเสื่อมทางด้านจิตใจของประชาชนพลเมืองในอนาคต กรมการศาสนาจึงวางแผนที่จะฟื้นฟูสัมมาปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน...โดยส่งพระธรรมทูตออกเผยแผ่พระศาสนาแบ่งเป็น 9 สาย ตามแบบอย่างการส่งพระธรรมทูตออกประกาศพระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช...[2]
         ในการจัดทำโครงการนี้  กรมการศาสนาปรารถนาจะให้เป็นงานของพระสงฆ์ในความอุปถัมภ์ของกรมการศาสนา แต่เนื่องจากเป็นโครงการใหม่และต้องการจะทดลองทำเพื่อศึกษาให้ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นก่อน จึงไม่ได้แต่งตั้งเจ้าคณะตามรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ขึ้นรับผิดชอบทั่วประเทศ ได้ใช้วิธีการอาราธนาพระเถระผู้ใหญ่เป็นหัวหน้าสายจัดพระธรรมทูตออกแยกย้ายจาริกเป็น 7 สายไปก่อน[3]
           จนกระทั้งสองปีผ่านไปปรากฏว่า การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยดี และได้ผลเกินคาด กรมการศาสนาพิจารณาเห็นว่าควรจะได้จัดองค์กรการบริหารแต่ละระดับให้สมบูรณ์ มีเจ้าคณะรับผิดชอบแต่ละระดับอย่างเต็มรูปแบบ จึงได้อาราธนาพระเถระหัวหน้าพระธรรมทูต ทุกสายมาประชุมปรึกษาหารือในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2508 ที่ประชุมมีความเห็นพ้องต้องกันว่า สถานการณ์ของโลกปัจจุบันยังเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นจะต้องดำเนินงานพระธรรมทูตให้ได้ผลดียิ่งขึ้น และควรให้รับโครงการนี้เป็นงานของคณะสงฆ์ โดยเสนอให้คณะกรรมการมหาเถรสมาคมพิจารณาลงมติรับรองและมอบหมายให้พระเถระรูปใดรูปหนึ่งเป็นแม่กองดำเนินการ กรมการศาสนาจึงได้ร่างแผนงานโดยสังเขปของ “โครงการเผยแพร่ศีลธรรมโดยพระธรรมทูต” ขึ้น เพื่อประกอบการพิจารณาและกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อเสนอที่ประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ในที่สุดคณะกรรมการมหาเถรสมาคมได้มีมติรับไว้เป็นโครงการถาวรและเป็นงานของพระสงฆ์ทั้งสองนิกายและมอบให้ สมเด็จพระวันรัต (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นแม่กองงานพระธรรมทูตมหาเถรสมาคมได้มีมติให้ใช้ตำหนักล่าง วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่ตั้งของสำนักฝึกอบรมธรรมทูตไปต่างประเทศ และต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม 2509 จึงได้ประกอบพิธีเปิดการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศรุ่นที่ 1 ขึ้น ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานในพิธี
         ในส่วนของคณะกรรมการอำนวยการฝึกอบรม ได้ประชุมกันพิจารณากำหนดหลักการและวิธีการฝึกอบรมหลายครั้ง และตั้งได้อนุกรรมการขึ้นพิจารณาหลักสูตรการอบรมขึ้นคณะหนึ่ง ได้ตกลงกำหนดสรุปเป็นหลักใหญ่ ๆ เพื่อบริหารงานคือ
             1. การฝึกอบรม ให้มีทั้งในขั้นปริยัติและขั้นปฏิบัติ และโดยเฉพาะให้มีการฝึกให้สามารถใช้ภาษาได้ดี  และให้มีความรู้ทางศาสนาและทางอื่นที่ควรรู้เป็นวิชาประกอบพอเพียง และฝึกทางปฏิบัติให้ถึงระดับที่สมควร
               2.ในขั้นปริยัติที่จะเปิดสถานฝึกอบรม ให้เลือกพระภิกษุผู้สำเร็จชั้นปริญญาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์สองแห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยแห่งละ 10 รูป  ด้วยมอบให้เลขาธิการมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่งนั้นเป็นผู้เลือกเสนอ กับให้กรรมการฝึกอบรมฝ่ายบรรพชิตซึ่งมีอยู่ (ในระยะแรก) 6 รูปเลือกพระภิกษุอีกท่านละ1 รูป โดยให้เลือกพระภิกษุผู้มีระดับความรู้ชั้นปริญญาสงฆ์หรือเทียบเท่า จึงรวมพระภิกษุผู้เข้ารับการฝึก 26 รูป ส่วนในขั้นปฏิบัติ นอกจากจะมีการฝึกพระภิกษุทั้ง 26 รูปในทางปฏิบัติด้วยแล้ว ได้ตกลงขอให้กรรมการฝ่ายบรรพชิตเลือกพระภิกษุผู้เป็นนักปฏิบัติโดยเฉพาะไว้อีกด้วย จะได้มีกำหนดการอาราธนามาร่วมปฏิบัติอบรมเพื่อให้อยู่ในแนวที่รับรองต้องกันในโอกาสต่อไปเพราะในการออกไปปฏิบัติศาสนกิจนั้น ควรจะมีพระภิกษุผู้มีความรู้สามารถทั้งทางปริยัติและปฏิบัติคู่กันไป  ทั้งควรจะปฏิบัติด้วยตนเองและแสดงแก่ผู้อื่นในแนวเดียวกัน ตามแบบพระสงฆ์ไทยสายเถรวาททั้งหมด
             3.หลักสูตรที่กำหนดในการฝึกอบรม ได้กำหนดวิชาต่าง ๆ หลายแขนงในระดับที่สูงกว่าขั้นปริญญาตามที่ได้ศึกษามาแล้วในมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งนั้น แต่สรุปว่าให้อยู่ในหลักการฝึกดังนี้คือ ฝึกการถ่ายทอด การวางตัว และการวางโครงการดำเนินงาน เพราะการถ่ายทอดเป็นเรื่องสำคัญของการปฏิบัติงาน ทั้งในด้านภาษาทั้งในด้านวิชาจะต้องมีความสามารถที่จะถ่ายทอดจะต้องมีการวางตัวดี  อันหมายถึงการปฏิบัติธรรมวินัยดี ตลอดถึงการปฏิบัติวางตัวดีโดยประการอื่น และจะต้องมีโครงการปฏิบัติอันเหมาะสม ในการนี้ได้กำหนดเชิญผู้ทรงคุณวุฒิทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศหลายท่านมาร่วมเป็นวิทยาทายก ซึ่งก็ได้รับความร่วมศรัทธาเป็นอันดี
           4. สถานที่ฝึกอบรม ตกลงให้ใช้ที่ชั้นบนแห่งตำหนักเดิมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่เรียกว่า “ตำหนักล่าง” ซึ่งใช้เป็นที่ทำงานและที่ประชุมมานานแล้ว และมีที่ว่างพอเป็นที่ใช้ฝึกอบรมได้  ทั้งนี้เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงฟื้นฟูส่งเสริมการศึกษาและการปกครองคณะสงฆ์ให้มีระดับสูงขึ้นเป็นอันมาก ดังที่ได้ปรากฏเป็นที่รับรองยกย่องนับถือกันทั่วไป  การที่พระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันเจริญขึ้นด้วย การศึกษาและการปฏิบัติย่อมกล่าวได้ว่า เนื่องจากพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น แม้งานเกี่ยวกับพระธรรมทูตในบัดนี้ ย่อมเนื่องมาจากพระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่านเช่นเดียวกัน ฉะนั้นการเปิดฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศขึ้นเป็นสถาบันครั้งแรก  ณ ตำหนักที่พระองค์ท่านเคยประทับ ย่อมจะเป็นอนุสติถึงพระกรุณาธิคุณ ซึ่งยังปกแผ่อยู่เป็นที่พึ่งต้านทานอุปสรรคทั้งปวง ทางวัดบวรนิเวศวิหารได้อนุญาตให้ใช้ได้ตามต้องการ
         5. ระยะการฝึกอบรม กำหนดหนึ่งปีกับหกเดือน และจะมีการฝึกปฏิบัติงานเหมือนอย่างไปปฏิบัติงานในต่างประเทศจริง กับการฝึกปฏิบัติทางจิตใจในอรัญญิกาวาสในระยะต่าง ๆ อีกด้วย”[4]
        การฝึกอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศได้จัดขึ้นร่วมกันทั้งสองนิกายในระหว่างปี พ.ศ. 2509 ถึง พ.ศ.2510 และได้หยุดลงด้วยเหตุปัจจัยจำเป็นบางประการ แต่ยังมีพระสงฆ์ไทยไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่างประเทศมากขึ้น
         ดังนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม จึงให้มีการรื้อฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาใหม่ โดยถวายให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระสงฆ์มหานิกาย และสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (ประจวบ กนฺตาจาโร) กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระสงฆ์ธรรมยุต พระมหาเถระทั้งสองได้มอบภาระงานนี้ แก่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย  มหามกุฏราชวิทยาลัยโดยลำดับเป็นหน่วยงานดำเนินการ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
         ในส่วนของการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) นั้น หลังจากที่มหาเถรสมาคมได้มอบหมายให้สมเด็จพระพุทธชินวงศ์แล้วนั้น ก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักฝึกอบรม ฯ ประกอบด้วยพระเถรานุเถระจากคณะธรรมยุตและผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยและคฤหัสถ์ผู้ทรงคุณวุฒิ และในส่วนการฝึกอบรมพระธรรมทูตนั้น ก็ได้มอบมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยพิจารณาดำเนินการเรื่อยมา
        ในส่วนของการบริหารงานของสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) นั้นหลังจากที่ได้มีการแต่งตั้งกรรมการบริหารแล้ว ก็ได้มีการออกระเบียบสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) ว่าด้วยการไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศสำหรับพระธรรมทูต พ.ศ. 2543 ซึ่งในระเบียบดังกล่าว ได้กำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติศาสนกิจของพระธรรมทูตในต่างประเทศของคณะสงฆ์ธรรมยุต กรอบการบริหารงาน ภาระงาน จริยาพระธรรมทูต และให้มีสำนักงานเลขานุการ สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) เพื่อเป็นศูนย์ประสานการดำเนินงานด้านการฝึกอบรม การบริหารและการเผยแผ่อย่างเป็นระบบและเป็นเอกภาพ
       ในส่วนของหน่วยงานภายในของสำนักฝึกอบรมนั้น จากการที่ระเบียบสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตฯ ระบุให้มีสำนักงานเลขานุการ และให้มีตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร และให้มีรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นเลขานุการสำนักงานพร้อมมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำ ซึ่งนอกจากจะเป็นพระธรรมทูตที่ผ่านการฝึกอบรมและผ่านการปฏิบัติงานจากต่างประเทศมาร่วมปฏิบัติหน้าที่แล้ว ยังมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย    มหามกุฏราชวิทยาลัยร่วมดำเนินการด้วย นอกจากนั้นยังจัดตั้งและขยายหน่วยงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานเช่น มีการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) ขึ้น ณ วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขนเมื่อ พ.ศ.2547 เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมพระธรรมทูตในภาควิชาการ และมีวัดที่ร่วมดำเนินการในการฝึกอบรมด้วยคือวัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกอบรมภาคจิตภาวนา และวัดเขาสุกิม ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ในพระองค์ ตำบลทำนบ อำเภอท่าตะโก จังหวัดนคสวรรค์ เป็นศูนย์ฝึกอบรมภาคนวกรรม
          จากข้อมูลทางสถิติของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า ในปี พ.ศ.2556 มีพระธรรมทูตในประเทศ 4,892 พระธรรมทูตที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างประเทศ 1,390 รูป มีพระสงฆ์ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม 714 รูป พระสงฆ์ไทยเดินทางออกนอกประเทศ 8,606 รูป มีวัดไทยในต่างประเทศ 445 วัด[5] จากอดีตที่ผ่านมาพระธรรมทูตไทยทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาจนสามารถสร้างวัดขึ้นในต่างประเทศได้หลายแห่ง
          จากสถานภาพและปัญหาของพระธรรมทูตไทยที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศในปัจจุบัน การศึกษาอบรมพระภิกษุเพื่อทำหน้าที่พระธรรมทูตยังไม่ตอบสนองความต้องการของการเผยแผ่พระพุทธในต่างประเทศ ดังนั้นต้องมีแนวทางในศึกษาอบรมที่เหมาะสม มีการการพัฒนาหลักสูตร มีรูปแบบการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศมราเหมาะสมกับความเจริญของโลกในปัจจุบัน
 
วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย
 
          1. เพื่อศึกษาสถานภาพและปัญหาการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ(ธรรมยุต)
          2. เพื่อหาแนวทางในการการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)
         3. เพื่อสร้างรูปแบบการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)

ขอบเขตของโครงการวิจัย

          การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วางขอบเขตไว้ดังต่อไปนี้
          1. ด้านเนื้อหาศึกษาจากเอกสารขั้นปฐมภูมิจากคัมภีร์พระพุทธศาสนา และศึกษาจากเอกสารขั้นทุติยภูมิคือเอกาสารทางวิชากรอื่น ๆ สัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มประชากรที่คัดเลือก
          2. ด้านประชากร กรรมการที่ปรึกษา กรรมการบริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธรรมยุต)และพระธรรมทูตไทยที่ผ่านการฝึกอบรมจากสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) ที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในประเทศและในประเทศ
          3. ขอบเขตด้านสถานที่ เป็นการวิจัยเฉพาะกรรมการที่ปรึกษา กรรมการบริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) และกลุ่มพระธรรมทูตไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในประเทศและในประเทศ
          4. ขอบเขตด้านเวลา คือระยะเวลา 1 ปี (ระหว่าง 1 ตุลาคม 2561- 30 กันยายน 2562)

คำนิยามศัพท์

          การศึกษาอบรม หมายถึง การฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)
          พระธรรมทูต หมายถึง พระภิกษุที่ทำหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
         พระธรรมทูตไปต่างประเทศ หมายถึง พระภิกษุที่ผ่านการอบรมจากสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

          1. ได้ทราบถึงสถานภาพและปัญหาการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ(ธรรมยุต)
          2. ได้แนวทางในการการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)
          3. ได้รูปแบบการศึกษาอบรมพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศ (ธรรมยุต)

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก