พระภิกษุหนุ่มบิณฑบาตเลี้ยงมารดา
แม้แต่ผู้ที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว หากมารดาบิดาประสพทุกข์ก็สมควรที่จะเลี้ยงดูท่าน ดังที่ปรากฏในธรรมบท ขุททกนิกายว่า บุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ฟังเทศนาของพระศาสดาแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบท เล่าเรียนธรรมวินัยครบ 5 ปีแล้ว จึงเรียนเอากัมมัฎฐานในสำนักเรียนของพระอุปัชฌาชย์นั้นต่อ ออกจากพระเชตวันไปยังปัจจันตคาม อาศัยบ้านนั้นอยู่ในป่าส่วนมารดาบิดาของเธอ จำเดิมแต่เวลาที่เธอบวชแล้ว ทรัพย์สมบัติก็ร่อยหรอลงโดยลำดับ ถึงความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง มีมือถือภาชนะเที่ยวไปขอทาน อาศัยฝาเรือนของชนอื่นอยู่
ในกาลต่อมา ภิกษุนั้น ได้สดับว่า มารดาบิดาของตนประสพทุกข์ จึงคิดว่า "เราแม้พยายามอยู่ในป่าสิ้น 12 ปี ก็ไม่อาจบรรลุมรรคและผลได้, เราเป็นคนอาภัพ, เราจะต้องการอะไรด้วยการบรรพชา, เราเป็นคฤหัสถ์ เลี้ยงมารดาบิดาให้ทาน ก็จักเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้" ดังนี้แล้ว จึงออกจากป่า ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ คิดว่า "วันนี้ เราเฝ้าพระศาสดาฟังธรรมแล้วพรุ่งนี้จึงจักเยี่ยมมารดาบิดาแต่เช้าตรู่" ดังนี้แล้ว เข้าไปยังพระเชตวัน
ในวันนั้นพระศาสดา ทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งปฐมมรรคของภิกษุนั้นแล้ว, เมื่อเธอมานั่งแล้ว ทรงพรรณนาคุณของมารดาบิดาตามที่ปรากฎในมาตุโปสกสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/713-715/253 ว่า ครั้งนั้น มาตุโปสกพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มาตุโปสกพราหมณ์นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าแสวงหาภิกษาโดยชอบแล้วเลี้ยงมารดาและบิดา ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ ชื่อว่าทำกิจที่ควรทำหรือไม่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ชอบยิ่ง พราหมณ์ ท่านทำดังนี้ ชื่อว่าได้ทำกิจที่ควรทำแล้ว ด้วยว่า ผู้ใดแสวงหาภิกษาโดยชอบแล้ว เลี้ยงมารดาและบิดาผู้นั้นย่อมได้บุญเป็นอันมาก
พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า“บุคคลใดเลี้ยงมารดาและบิดาโดยชอบ เพราะการบำรุงมารดา และบิดานั่นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ ทีเดียว บุคคลนั้นละไปจากโลกนี้แล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์”
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว มาตุโปสกพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิดไว้ บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจะมองเห็นรูปได้ ข้าแต่ท่านพระโคดม
ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุหนุ่มถือสลากยาคูและสลากภัตอันถึงแล้วแก่ตนเข้าไปบ้าน ถือเอายาคูและภัตให้แก่มารดาบิดาแล้ว ส่วนตนเที่ยวบิณฑบาต ทำภัตกิจแล้ว ทำที่อยู่สำหรับมารดาบิดานั้น จำเดิมแต่นั้น ก็ปรนนิบัติมารดาบิดาเนืองนิตย์ เธอให้ปักขิกภัตเป็นต้น อันตนได้แล้วแก่มารดาบิดานั้นแล้ว ส่วนตนเที่ยวบิณฑบาตเมื่อได้บิณฑบาตก็บริโภค, เมื่อไม่ได้ ก็ไม่บริโภค วันที่ได้ภิกษาของท่าน มีน้อย, วันที่ไม่ได้ มีมากกว่า เธอได้ผ้าวัสสาวาสิก(ผ้าจำนำพรรษา) หรือผ้าชนิดใดชนิดหนึ่งแม้อื่น ก็ให้แก่มารดาบิดานั้นนั่นแล ทำการปะผ้าท่อนเก่าที่มารดาบิดานั้นใช้สอยแล้ว ย้อมใช้สอยเอง ท่านถูกความกังวลในการบำรุงมารดาบิดาบีบคั้นอย่างนั้น ได้เป็นผู้ซูบผอม มีผิวพรรณหม่นหมองแล้ว
ภิกษุทั้งหลายพบเธอ จึงถาม สดับความนั้นแล้ว ติเตียนเธอแล้วทูลแด่พระศาสดา. พระศาสดา รับสั่งให้เรียกเธอมาแล้ว ทั้งทรงทราบอยู่ ก็รับสั่งให้ทูลความนั้น ประทานสาธุการ พระประสงค์จะทรงประกาศบุพพจริยาของพระองค์ จึงตรัสถามว่า "ภิกษุ คนทั้งหลายที่เธอเลี้ยงเป็นอะไรแก่เธอ " ภิกษุกราบทูลว่า "เป็นมารดาบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า "
พระศาสดา ประทานสาธุการ 3 ครั้งแก่เธอว่า "สาธุ สาธุ สาธุ" แล้วตรัสว่า "เธอตั้งอยู่ในมรรคาที่เราดำเนินแล้ว, แม้เราเมื่อประพฤติบุพพจริยา ก็เลี้ยงดูมารดาบิดา" จากนั้นจึงตรัสสุวรรณสามชาดก ขุททกนิกาย ชาดก (28/482-524/124- 133) ในมหานิบาตแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า การเลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย"
การทดแทนพระคุณมารดาบิดา
เมื่อจะทดแทนคุณมารดาบิดาสามารถทำได้ดังนี้ ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นสืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมาตาปิตุคุณสูตร อังคุตรนิกาย ทุกนิบาต (20/87/ ความว่า
1. ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี
2. ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล 5 ให้ได้
3.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน
4. ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือพยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้
วันแม่ปีนี้การที่ลูกได้รู้จักว่าแม่มีพระคุณ เราควรจะแสดงความรักความห่วงใย ได้ทดแทนพระคุณของท่าน อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ท่านสบายใจ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงกาย เมื่อตายก็เลี้ยงวิญญาณ ทำบุญอุทิศไปให้ เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญู แม้หมู่เทวดาก็ต้อนรับมีความเพลินเพลินในสวรรค์ สมดังพระดำรัสที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในมาตุโปสกสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/713-715/253 )ว่า “บุคคลใดเลี้ยงมารดาและบิดาโดยชอบ เพราะการบำรุงมารดาและบิดานั่นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว บุคคลนั้นละไปจากโลกนี้แล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เรียบเรียง
06/08/53
การอ้างอิง
กรมการศาสนา.พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับสยามรัฐ.โรงพิมพ์กรมการศาสนา,กรุงเทพ ฯ :2525.
กรมการศาสนา.พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง.โรงพิมพ์กรมการศาสนา,กรุงเทพ ฯ :2514.
มหามกุฏราชวิทยาลัย.พระไตรปิฎก ฉบับอรรถกถา.โรงพิมพ์กรมการศาสนา,กรุงเทพ ฯ :2525.
มหามกุฏราชวิทยาลัย.มงคลัตถทีปนีแปล เล่ม 2.โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย,กรุงเทพ ฯ ::2538.