ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai


              บารมีในฝ่ายเถรวาทถือว่ามี 10 ส่วนมหายานย่อลงเป็น ในยุคต่อมาในคัมภีร์อวตังสกสูตรได้เพิ่มบารมีเข้าไปอีก 4 อย่างคือ อุปาย ปณาน พละ และญาณ  (สุลักษณ์ ศิวรักษ์,ความเข้าใจในเรื่องมหายาน,กรุงเทพฯ: ส่องศยาม 2545, หน้า 65.)                    
              นอกจากบารมี 6 ประการนี้แล้ว พระโพธิสัตว์ยังจะต้องมีอัปปมัญญาภาวนาอีก 4 คือ  เมตตา กรุณา  มุทิตา  และอุเบกขา  เรียกอีกนัยหนึ่งว่า "อัปปมาณหฤทัย"  ซึ่งในพระพุทธธรรมฝ่ายเถรวาทก็มีเหมือนกัน   มีคำอธิบายว่า "เมตตา" พระโพธิสัตว์ต้องให้ความสุขแก่สรรพสัตว์  "กรุณา" พระโพธิสัตว์ต้องปลดเปลื้องความทุกข์ของสรรพสัตว์  "มุทิตา" พระโพธิสัตว์ต้องยินดีอนุโมทนา  เมื่อสัตว์พ้นทุกข์และได้สุข  ส่วน "อุเบกขา" ตามรูปศัพท์ภาษาจีนแปลว่า  "ละ" คือ พระโพธิสัตว์จะต้องไม่ยึดถือในความดี ว่าตนได้บำเพ็ญไปให้ผู้ใดผู้หนึ่ง และไม่ยึดถือในการปรารถนาตอบแทนด้วย  


            พระโพธิสัตว์จะต้องรำลึกเสมอว่า คุณความดีที่ท่านได้บำเพ็ญนั้น ต้องมีความรู้สึกว่า ท่านมิได้บำเพ็ญ ต้องไม่รู้สึกยึดถือว่าท่านบำเพ็ญความดี ตราบใดที่มีความรู้สึกว่าตัวเราเข้าไปแทรกในการทำอย่างนี้อยู่  ตราบนั้นก็ยังไม่นับว่าทำถูกตามจุดประสงค์ ยกตัวอย่างด้วยการให้ทาน  พระโพธิสัตว์จะต้องรู้สึกว่าไม่มีผู้ให้และไม่มีวัตถุที่จะให้  ตลอดจนไม่มีผู้ที่จะรับทานด้วย  พระโพธิสัตว์องค์ใดถ้ายังมีความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้ ก็ยังจัดเข้าเป็นการทำทานอย่างโลกิยะไป ต้องทำลายความยึดถือว่า เรากำลังทำความดี ทำลายความยึดถือว่า ผู้นั้นผู้นี้กำลังรับทานจากเราเสียก่อน จึงจะเป็นลักษณะของการให้ทานอย่างพระโพธิสัตว์อย่างแท้จริง 
            ในมหายานนิยมใช้คำว่าปรัชญาแทนคำว่าปัญญา ในวัชรปรัชญาปารมิตตาสูตรได้ให้ความหมายไว้ว่า “ปรัชญา” หมายถึงปัญญาซึ่งเป็นเครื่องรอบรู้ ความรู้โดยรอบซึ่งเป็นความรู้ซึ่งประกอบด้วยเหตุและผล ความรู้ซึ่งมีที่มาที่ไป มิใช่เป็นความรู้ที่มีซึ่งที่มาที่ไปมิใช่เป็นสิ่งที่หาที่มาที่ไปมิได้ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด เพราะไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงหามีไม่เป็นต้น (วิชชา พนาจารย์ แปล,วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร,กรุงเทพฯ: มาดีพลับลิชชิ่ง 2543,หน้า 2.)

            หลักแห่งความรู้ชั้นสูงเพื่อให้เกิดปัญญานั้นแยกออกได้เป็น 2 ทาง คือสมมุติสัจจ์หรือปัญญาทางโลกและปรมัตถสัจจ์หรือปัญญาทางธรรม สมมุติสัจจ์คือความจริง ที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ของอายตนะเป็นความจริงจากการเปรียบเทียบ ปัญญาทางโลก นั้นนำพา ความสุข ทางกาย ใจ ในระยะสั้นชั่วครั้งชั่วคราวทำให้มนุษย์ หลงไหลในโลกียะสุข 
            ส่วนปรมัตถสัจจ์คือความจริงแท้ดั้งเดิม ซึ่งลึกลงไป เป็นธรรมชาติแท้ นั่นคือความว่างเปล่า หรือ ศูนยตา ปัญญาในทางธรรมนั้น เป็นความสุขทางจิต เพื่อได้ความสุขนิรันดร ปัญญาของ มนุษย์ เป็นปัญญาที่ยึดติดอยู่ในความโลภ โกรธ หลง ปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญาแห่งอิสระ เห็นแจ้งสุญญตาตาเพื่อความสุขอันนิรันดร  ดังที่ปรากฏในโพธิสัตว์จรรยาวตารตอนหนึ่งว่า “เมื่อบุคคลเข้าใจสุญญตา ความเมตตาย่อมเกิดขึ้น สำหรับผู้ที่ประสบความทุกข์อันเป็นผลจากความสับสนในเรื่องสุญญตา ดังนั้นในขณะที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักร สร้างสมประโยชน์อันมหาศาลสำหรับผู้อื่นโดยการช่วยทำให้เขาเป็นอิสระจากความปรารถนาสุดขั้วสองสายคือความปรารถนาในความสุขจากวัฏฏจักรและความกลัวทุกข์อันเป็นผลของการทำสมาธิในสุญญตา (ศานติเทวะ,ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ แปล,โพธิสัตว์จรรยาวตาร,พิมพ์ครั้งที่ 2,กรุงเทพฯ: ศูนย์ไทย-ธิเบต 2543, หน้า 160.)
            ตามความหมายแห่งพระสูตรนี้ มหายานมีอุดมคติที่เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญาแห่งพระพุทธเจ้า เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้เป็นเช่นพระพุทธเจ้า "ปารามิตา" แปลว่า ข้ามไป ฝั่งโน้น ในทางพุทธศาสนาได้แบ่งโลกออกเป็น 2 ฝั่ง โลกฝั่งนี้คือโลกียะโลก โลกแห่งความ หลงติด ยึดมั่น ขาดอิสระ โลกอีกฝั่งคือโลกุตระโลก คือโลกที่ประทับแห่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย โลกแห่งความเห็นแจ้ง อิสระ ศูนยตา(ว่างเปล่า )"หฤทัย" ความหมาย ทางโลกียะ คือ ใจอัน เป็นแหล่งเก็บปัญญา เพื่อแย่งชิงความสุขทางโลก โดยยึดติด อยู่กับ ความโลภ โกรธ หลง ส่วนหฤทัยตามความหมายแห่งโลกุตระนั้น คือ จิตแหล่งเก็บ ปัญญา เพื่อไปสู่พระนิพพาน อันจะทำให้เราได้เป็นเช่นพระพุทธเจ้าในที่สุด วัชรปรัชญาปารามิตาหฤทัยสูตร คือ คำสอนหัวใจแห่งปัญญานำพาข้ามฝากฝั่งแห่งพระนิพพาน

            ส่วนปรมัตถสัจจ์ คือความจริงแท้ดั้งเดิมซึ่งลึกลงไป เป็นธรรมชาติแท้ นั่นคือความว่างเปล่า หรือ ศูนยตา ปัญญาในทางธรรมนั้น เป็นความสุขทางจิต เพื่อได้ความสุขนิรันดร ปัญญาของ มนุษย์ เป็นปัญญาที่ยึดติดอยู่ในความโลภ โกรธ หลง ปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญา แห่งอิสระ เห็นแจ้ง ศูนยตา เพื่อความสุขอันนิรันดร ตามความหมายแห่งพระสูตรนี้ เป็นไปเพื่อ ให้เกิด ปัญญาแห่งพระพุทธเจ้า เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้เป็นเช่นพระพุทธเจ้า ปารามิตา แปลว่า ข้ามไป ฝั่งโน้น ในทางพุทธศาสนาได้แบ่งโลกออกเป็น 2 ฝั่ง โลกฝั่งนี้คือโลกียะโลก โลกแห่งความ หลงติด ยึดมั่น ขาดอิสระ โลกอีกฝั่งคือโลกุตระโลก คือโลกที่ประทับแห่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย โลกแห่งความเห็นแจ้ง อิสระ ศูนยตา(ว่างเปล่า )หฤทัย ความหมาย ทางโลกียะ คือ ใจอัน เป็นแหล่งเก็บปัญญา เพื่อแย่งชิงความสุขทางโลก โดยยึดติด อยู่กับ ความโลภ โกรธ หลง 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก