หลายวันก่อนได้พบปะสนทนากับพระนาคเสน พระสงฆ์จากประเทศบังคลาเทศที่เข้ามาจำพรรษาในประเทศไทยนานกว่าสิบปีแล้ว พระนาคเสนเป็นนักศึกษาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย จนจบระดับปริญญโท ช่วงนี้กำลังหาที่ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก แต่ติดขัดที่การศึกษาระดับปริญญาเอกในประเทศไทยค่าเทอมแพงมาก อย่างน้อยก็ต้องมีเงินไม่ต่ำกว่าสามแสนบาท
พระนาคเสนบอกว่า “ผมอยากเรียนจนจบปริญญาเอกที่เมืองไทยก่อนจะกลับประเทศ เพราะที่บังคลาเทศค่อนข้างจะยากจน อีกอย่างชาวพุทธเป็นพลเมืองส่วนน้อยของประเทศ บังคลาเทศมีขนาดเล็กกว่าประเทศไทยแต่มีประชากรมากกว่า จำนวนประชากรประมาณ 170 ล้านคน เป็นชาวพุทธเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ มีวัดทั่วประเทศประมาณ 1000 วัด และมีพระสงฆ์ทั่วประเทศประมาณ 5000 รูปเท่านั้น พระสงฆ์ส่วนหนึ่งเดินทางมาศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ประเทศไทย ปัจจุบันน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 200 รูป”
เมื่อถามว่าเหตุการณ์ที่วัดพุทธไทยถูกเผา เพราะสาเหตุใด พระนาคเสนบอกว่า “ผมก็ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่วัดที่ถูกเผาเป็นวัดเก่าแก่ เป็นวัดที่สำคัญ จึงมีผลมาก ผมทราบเพียงคร่่าวๆว่า เหตุทั้งหมดน่าจะมาจากความเข้าใจผิด มีการโพสต์ข้อความหรือภาพผมไม่แน่ในลงในเฟสบุ๊ค นัยว่าเป็นเรื่องที่หมิ่นศาสดาของศาสนาหนึ่งประมาณนั้น ผมก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้ข้อเท็จริงเป็นอย่างไร โพสจริงหรืออาจจะมีคนแกล้งโพสเพื่อให้เกิดความขัดแย้งก็ได้ จากนั้นก็เกิดเรื่องจนนำไปสู่ชนวนแห่งการเผาในครั้งนี้
พระนาคเสนเปิดคลิปวีดีโอให้ดู ควันไฟยังรอยกรุ่น ภาพพระพุทธรูปอยู่กลางเปลวเพลิง เห็นแล้วน่าสลดหดหู่อย่างยิ่ง จากนั้นก็ทำตาแดงๆเหมือนกำลังจะร้องให้ ก่อนจะบอกว่า “ผมก็คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน แต่ปณิธานของผมยังไม่สำเร็จ ต้องกลับอย่างมีคุณค่าครับ อย่างน้อยก็เป็นพระดอกเตอร์ จะได้ไปเปิดมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ประเทศของผม แม้ผมจะรักเมืองไทย แต่ถึงอย่างไรเมื่อถึงเวลาผมก็ต้องกลับบ้านเกิดครับ”
ก่อนจากกันพระนาคเสนยังบอกว่า “ฝากขอบคุณพุทธศาสนิกขนคนไทยทุกท่านด้วยนะครับที่มีเมตตารวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นส่งไปให้ความช่วยเหลือพระสงฆ์ที่บังคลาเทศ คนไทยใจบุญ ประเทศไทยน่าอยู่ครับ"
หากใครอยากให้ความช่วยเหลือพระสงฆ์บังคลาเทศที่ถูกเผาวัด ติดต่อได้สอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/10/55
รวมข่าวเกี่ยวกับวัดพุทธบังคลาเทศถูกเผา
http://newweb.bpct.org/content/view/535/110/
http://www.dhammadee.com/index.php?mo=14&newsid=327291