ลือกระหึ่มชาวบ้านแตกตื่นหลงเชื่อพระนักเทศน์ ว่าโลกใกล้วิบัติ กรุงเทพฯน้ำจะท่วมสูง พาครอบครัว ย้ายไปปักหลักสร้างบ้านพักบริเวณวัดกลางป่าเขา ผู้สื่อข่าวบุกพิสูจน์พบจะจะ กำลังก่อสร้างบ้านหรูคล้ายรีสอร์ต สร้างเสร็จไปแล้ว 300 หลัง และกำลังสร้างเพิ่ม ส่วนพื้นที่วัดขยายไปกว่า 800 ไร่ และจะขยายเพิ่มให้ถึง 1,000 ไร่ เพราะไม่เพียงพอกับความต้องการของศิษยานุศิษย์ ขณะที่พระในวัดมีวัตรปฏิบัติสุดแหวกแนวไว้ผมไว้หนวดไว้เครา ไม่บิณฑบาต ไม่สวดมนต์นั่งสมาธิ อ้างเป็นแค่เปลือกกระพี้อย่าไปยึดติด
จากที่มีเสียงร่ำลือในหมู่ศิษยานุศิษย์เกี่ยวกับคำสอนของหลวงพ่อสมชาย หรือหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต พระนักเทศน์ดังแห่งวัดร่มโพธิธรรม อ.หนองหิน จ.เลย ได้แสดงธรรมต่อเนื่องมานานหลายปี โดยเฉพาะสั่งสอนให้คล้อยตามความเชื่อว่าโลกจะแตกในเร็ววัน ตามพุทธทำนายที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล ประกอบกับในปี 2554 ได้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นมาหลายครั้ง ทั้งแผ่นดินไหว ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ตามด้วยแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งภัยพิบัติที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ส่งผลทำให้ศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใสศรัทธา เกิดแตกตื่นขนข้าวของอพยพครอบครัวเข้าไปอาศัยอยู่ในบริเวณวัดดังกล่าวซึ่งเป็นที่สูงชันอย่างต่อเนื่อง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพิสูจน์ความจริงที่วัดร่มโพธิธรรม อ.หนองหิน โดยเดินทางไปตามถนนหนองหิน-ภูกระดึง ถึงบริเวณหลัก กม.ที่ 160 หมู่บ้านร้อยหกสิบ ต.หนองหิน แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร ห่างจากหมู่บ้าน 2-3 กิโลเมตร พบพื้นที่วัดเป็นบริเวณโล่งกว้างบนที่สูง กำลังมีการก่อสร้างที่พักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ที่สร้างเสร็จแล้วประมาณ 300 หลัง ลักษณะคล้ายรีสอร์ต ทำด้วยไม้และวัสดุราคาแพง และยังกำลังก่อสร้างอีกเป็นจำนวนมาก
ผู้ที่อยู่อาศัยภายในบริเวณวัดเปิดเผยว่า วัดแห่งนี้มีผู้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยถาวร ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก นับพันคน ส่วนพระสงฆ์มีจำพรรษาอยู่ประมาณ 150 รูป แต่ใครจะเข้าอยู่โดยพลการไม่ได้ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสก่อน โดยจะชี้จุดให้เข้าไปสร้างได้ โดยผู้ที่มาอาศัยต้องจ่ายค่าก่อสร้างเอง ส่วนค่าที่ดินก็แล้วแต่ว่าจะบริจาคให้วัด ส่วนใหญ่ผู้ที่เข้ามาสร้างที่พักอาศัยเป็นคนมีฐานะ เป็นข้าราชการระดับสูง เป็นนายแพทย์ และเจ้าของบริษัท ขณะนี้พื้นที่วัดมีประมาณ 800 ไร่เศษ ทราบว่าเดิมเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม บ้างก็เป็นพื้นที่ สปก. ที่ทางวัดอ้างว่ามีชาวบ้านนำมาขายให้ และกำลังขยายพื้นที่ออกไปให้ได้ถึง 1,000 ไร่ โดยทางวัดอ้างว่า เป็นไปตามความต้องการของศิษยานุศิษย์ที่สั่งจองขอเข้ามาอาศัยด้วยอีกเป็นจำนวนมาก
ขณะที่กิจวัตรประจำวันภายในวัด จะเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 06.30 น. พระจะไม่ออกไปบิณฑบาต จากการสังเกตพบว่า การแต่งกายจะผิดแผกไปจากพระทั่วไป บ้างสวมใส่กางเกง บ้างใส่เสื้อแขนยาว บ้างไว้ผมยาว หนวดเครารุงรัง แต่ที่ดูรู้ว่าเป็นพระ เพราะยังสวมใส่อังสะสีน้ำตาลเข้ม หรือสีกรัก โดยทั้งหมดจะไปรวมกับชาวบ้านที่ศาลาฉัน เพื่อฟังหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะเทศน์ให้ฟังทุกเช้า
สำหรับคำสอนที่ได้รับฟัง แม้จะเน้นถึงเรื่องการดับทุกข์ การปล่อยวาง แต่ก็ผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมวินัยอย่างสิ้นเชิง เช่น ชี้ว่าการนั่งสมาธินานๆ หากทำให้ตัวเองเกิดทุกข์ ปวดเมื่อย ก็ให้หยุดทำเสีย ถือว่าเป็นการปล่อยวาง ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป และยังเป็นหนทางไปสู่พระอรหันต์ได้ นอกจากนี้ เรื่องการฉันของพระ ก็ให้ถือตามอัธยาศัย ชี้ว่าความหิวนั้นก็เป็นทุกข์เช่นกัน ดังนั้น จะฉันอาหารกี่มื้อก็ได้ถือว่าไม่ผิด ตรงกันข้ามกับพระธรรมวินัยที่บัญญัติไว้โดยสิ้นเชิงเช่นกัน
ต่อมาผู้สื่อข่าวเข้าพบหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ พระนักเทศน์เจ้าของคำสอนผิดเพี้ยน โดยถามถึงเรื่องที่พระในวัดไว้ผมยาว ไว้หนวดไว้เครา ทำไมไม่มีการสวดมนต์ นั่งสมาธิ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะกล่าวว่า การที่สวดมนต์สวดพรมันสำหรับผู้ที่ชอบขอชอบอ้อนวอน การกราบไหว้ก็เป็นความเคารพอยู่แล้ว คุณจะสวดก็เรื่องของคุณ คุณไม่ สวดก็เรื่องของคุณ ส่วนการนั่งสมาธิ อยากถามคุณนั่งสมาธิคุณเอาอะไร เอาความสงบ เอาง่ายๆคุณไม่ต้องนั่ง คุณอยู่ในบทยืนนั่งนอนเคลื่อนไหวตามอิริยาบถลืมตาอ้าปากจิตใจคุณวุ่นวายก็ช่างมัน ต้องดูตัวช่างมันแล้วมันจะเบา คือเราไม่ต้องคิดอะไรไม่ต้องทะเลาะกับความวุ่นวาย ตัวช่างมันมันจะตัดไปเอง แล้วเราก็เบากายเบาใจ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ ใครจะนั่งก็นั่งไปแต่ที่นี้นั่งฟังธรรมไปเขาก็สงบไปเอง สำหรับพระที่นี่ไว้ผมยาวหนวดยาวได้ ที่เห็นมันเป็นแค่เปลือกกระพี้ก็อย่าไปมองมัน พร้อมยืนยันคำสอนที่เทศน์ให้ลูกศิษย์ฟังถึงเรื่องโลกจะถึงกาลวิบัติมานาน 4-5 ปี สรุปได้ว่า จะเกิดขึ้นจริงทุกอย่างในไม่ช้า เอาเป็นว่ากรุงเทพฯ ก็ไวๆนี้ ขอเตือนกันแค่นี้ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ กล่าวในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามชาวบ้าน ต.หนองหิน ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับวัด ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า รับทราบถึงพฤติกรรมนอกรีตนี้มานานหลายปี แต่เนื่อง จากเป็นชาวพุทธ เห็นเป็นเรื่องของพระ จึงไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย กลัวจะเป็นบาปติดตัว โดยเฉพาะพฤติกรรมไม่เคยออกจากวัดมาบิณฑบาต ผิดพระธรรมวินัยที่บัญญัติไว้ นอกจากนี้ ยังมีผู้ไปพบเห็นอยู่ร่วมกับฆราวาสกันอย่างเสรี ไม่แบ่งเขตพระสงฆ์ เขตฆราวาสให้ชัดเจนเหมือนกับวัดอื่นๆ แถมยังไม่ออกมาคบหาชาวบ้าน โดยเฉพาะคนยากจน จะพูดคุยก็แต่กับคนมีฐานะเท่านั้น หลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีพฤติกรรมน่าสงสัย ซึ่งอาจเป็นการหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องภายในวัดแต่อย่างใด