ใครที่เดินทางไปโคราชในช่วงก่อนเที่ยงเมื่อวันก่อน คงจะต้องพบวิกฤตการณ์คล้ายๆกันคือต้องพบกับปัญหารถติดในช่วงกลางดงปากช่องซึ่งปรกติรถจะวิ่งได้สะดวก แต่วันก่อนกลับมีรถติดยาวเหยียด บังเอิญเป็นช่วงที่รถจะต้องขึ้นเนิน รถหลายคันจึงประสบปัญหาที่ไม่คาดหวังเสียหายไปตามๆกัน ต้องหลบจอดข้างทาง โดยเฉพาะพวกรถรถบรรทุกทั้งหลายต้องจอดกันยาว เนื่องจากก่อนออกเดินทางไม่ได้ติดตามข่าว ไม่มีใครบอกข่าวจึงไม่ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า หากมีคนบอกข่าวคงจะต้องเลี่ยงไปเส้นทางอื่น การเดินทางที่ไม่ได้วางแผนไม่ตรวจสอบเส้นทางเวลาที่มีอุปสรรคหาจะทางหลบหลีกหนีไม่ทัน
สาเหตุของรถติดมาจากมีรถบรรทุกรถคันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้้รถสปอร์ตหรูขณะอยู่บนรถเทรลเลอร์ที่เตรียมนำส่งลูกค้าบรรทุกมาสี่คันมีทั้งเบนท์เลย์ ลัมโบกินี่ เฟอร์รารี่ บีเอ็มดับบลิวถูกไฟไหม้ยับเยิน ค่าเสียหายร่วมแปดสิบล้าน หลายคนที่ได้พบเห็นต่างก็บ่นเสียดายรถ ราคาคันละยี่สิบล้านไม่น่าจะมาถูกไฟไหม้เสียหายอย่างนี้ แม้จะมีราคาแพงอย่างไรก็ต้องเสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุเหมือนกัน อันตรายทั้งหลายทั้งปวงไม่ได้เลือกว่าราคาจะถูกหรือแพง
หลวงพ่อหลวงพี่ที่ร่วมเดินทางบอกว่าวันนี้เราจะไปฉันเพลที่ริมเขื่อนลำตะคอง จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังอำเภอสูงเนินไปร่วมงานเผาศพมารดาของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง กำหนดการระบุไว้เวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็น
แม้รถจะติดอย่างไรก็เดินทางไปถึงจุดหมายจนได้ ไปถึงสถานที่จัดงานพระสงฆ์กำลังแสดงธรรมเทศนา อากาศภายในบริเวณวัดร้อนมากจึงเดินเล่นออกไปนอกวัดเพื่อหาร่มไม้สักต้นจะได้อาศัยร่มเงาของต้นไม้นั่งรอเวลาในการเผาศพจะมาถึง พอออกมาหน้าประดูวัดมองเห็นท้องทุ่งที่กำลังเขียวขจีสดใสเต็มไปด้วยต้นข้าว ต้นไม้ มองเห็นตาลสองต้นและมะพร้าวอีกหลายต้นยืนต้นสู้กับแดดลมฝนโดยไม่หวาดหวั่น ต้นไม้ใหญ่หากมีรากแก้วที่มั่นคงก็คงทนและยืนหยัดอยู่ได้นานและมักจะมีหมู่แมกไม้อื่นมาอิงอาศัยอยู่ด้วย ต้นไม้ก็มีบริวาร มนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันผู้ที่อยู่ประจำนานๆมักจะมีรากฐานที่แข็งแรงสามารถที่จะสู้กับอุปสรรคที่ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ย่อท้อได้นั่นเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการมีหลักแหล่งที่มั่นคง เมื่อทีหลักฐานมั่นคงมีศีลธรรม มีกัลยาณธรรมก็มักจะมีคนใกล้ชิดหรือมิตรสหายพวกพร้องมาก จะทำงานอะไรก็มักจะทำสำเร็จได้โดยง่าย โบราณว่า "นกมีขน คนมีพวกมักจะขึ้นสู่ที่สูงได้โดยไม่ยาก" ตรงข้ามกับ "นกไม่มีขน คนไม่มีพวกขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้"
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเปรียบเทียบด้วยอุปมาอุปมัยคนกับต้นไม้ไว้ในรุกขสูตร อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต (21/109/128) ความว่า “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้สี่ชนิดคือ(1)ต้นไม้กระพี้มีไม้กระพี้เป็นบริวาร (2) ต้นไม้กระพี้มีไม้แก่นเป็นบริวาร (3)ต้นไม้แก่นมีไม้กระพี้เป็นบริวาร (4) ต้นไม้แก่นมีไม้แก่นเป็นบริวาร
ดูกรภิกษุทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกันบุคคลเปรียบด้วยต้นไม้สี่จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลกคือ(1)บุคคลดุจไม้กระพี้มีไม้กระพี้เป็นบริวาร (2) ดุจไม้กระพี้มีไม้แก่นเป็นบริวาร (3) ดุจไม้แก่นมีไม้กระพี้เป็นบริวาร (4) ดุจไม้แก่นมีไม้แก่นเป็นบริวาร” ต้นตาลต้นมะพร้าวคงอยู่ในไม้ประเภทแรกคือไม้ไม่มีกระพี้ ส่วนบริวารของต้นตาลไม่รู้จะเป้นไม้ชนิดไหน
คำว่า “ไม้แก่น” ในพระสูตรนี้หมายถึง “คนมีศีล มีกัลยาณธรรม” คำว่า “ ไม้กระพี้” หมายถึง “คนทุศีล มีบาปธรรม” ส่วนใครเป็นใครเป็นเหมือนไม้ชนิดไหนนั้นลองนำพิจารณาตรวจสอบกันเองเอง ส่วนใครจะอยู่คนเดียวไม่มีบริวารจะเป็นเหมือนไม้ชนิดไหนนั้นเลือกสรรกันเอาเอง
ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมองเห็นชายคนหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆสงสัยจึงเดินเข้าไปหา พอพบหน้าทักทายจึงชวนคุยเล่นๆว่า “กำลังทำอะไร” ชายคนนั้นบอกว่า “เตรียมจุดประทัดและพลุครับ หลวงพีอย่าพึ่งเข้ามาใกล้ประเดี๋ยวจะเป็นอันตราย แต่ตอนนี้นิมนต์เข้ามาพักที่ใต้ต้นไม้ก่อนก็ได้อากาศเย็นสบายดี ผมยังไม่จุดตอนนี้”
เมื่อถามว่า “จะจุดเมื่อไหร่” ชายคนนั้นรีบตอบทันทีว่า “เมื่อได้เวลาครับ ผมทำหน้าที่คนบอกเวลา บอกกำหนดการประจำงานครับ” เมื่อหลวงพี่มาใหม่ทำหน้าสงสัย ชายคนนั้นจึงบอกว่า “ในงานศพนั้นมีช่วงเวลาครับ ในเขตอำเภอหนึ่งมีกำหนดการคล้ายกัน ผิดกันแต่ช่วงเวลานิดหน่อยเท่านั้น เคลื่อนศพออกจากบ้านก็จุดบอกหนึ่งครั้ง ชาวบ้านจะได้มาร่วมงานทันเวลา พอพระเทศน์จบก็จุดอีกครั้ง แสดงให้ผู้ที่มาร่วมงานได้เตรียมตัวในการเคลื่อนย้ายศพไปยังเมรุ ขึ้นเมรุเสร็จจุดอีกหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประธานทอดผ้าบังสุกุลเสร็จก็จุดอีกหนึ่งครั้งบอกให้รู้ว่าได้เวลาขึ้นวางดอกไม้จันทน์แล้วและได้เวลาเผาศพแล้ว กำหนดการงานศพเป็นไปดั่งนี้แหละครับ อาจจะมีช่วงของเวลาที่อาจจะต่างกันบ้าง แต่โดยสรุปแล้วต่างกันไม่มาก ชาวบ้านในชนบทเมื่อฟังเสียงสัญญาณจากพลุและตะไลที่จุดขึ้นบนท้องฟ้าก็จะทราบกำหนดการคร่าวๆว่าขั้นตอนของงานไปถึงไหนแล้ว สาระของพลุ ประทัด ตะไลอยู่ที่การบอกเวลานี่แหละครับ ส่วนผมเป็นเพียงคนบอกเวลาครับ พระเทศน์จบแล้ว ผมต้องจุดอีกชุดแล้วครับ”
เสียงพลุดังสนั่น หลวงพี่ที่กำลังถือกล้องอยู่ในมือก็ตกใจถ่ายภาพไม่ทัน แหมพูดจบจุดปั๊บอย่างนั้นผู้ที่ไม่คุ้นเคยก็ต้องสะดุ้งตกใจเป็นธรรมดา กว่าจะถ่ายภาพได้ก็เป็นการจุดตะไลส่งขึ้นฟ้าแล้ว
“หลวงพี่ครับคนโบราณบอกว่าคนที่ตกใจง่ายมักจะเป็นผู้ที่มีสมาธิไม่ค่อยดี ส่วนผู้ที่มีสมาธิมั่นคงมักจะไม่ตกใจง่าย” เสียงชายคนบอกเวลาแว่วมาหลังเสียงพลุ หลวงพี่ก็ได้แต่ทำหน้าจ๋อย มันตกใจจริงๆทำไงได้
ทุ่งหน้าในเวลาเที่ยงวันแม้จะร้อนระอุด้วยเปลวแดดแต่ก็ยังรู้สึกเย็นสบายเมื่อสายลมรำเพยพัด จึงเดินเล่นตามทุ่งนาถ่ายภาพบรรยากาศเล่นๆพยายามมองหาความงามจากความเป็นธรรมดา ต้นตาลต้นมะพร้าวและเงาไม้สะท้อนลงไปยังนาข้าวที่กำลังเขียวชอุ่ม ไกลออกไปมีต้นไม้ขึ้นแซมตามคันนาเป็นหย่อมๆ มีบ้านบางหลังที่ปลูกลุกเข้ามายังที่นากลายเป็นบ้านกลางทุ่งนา มองดูแล้วเป็นความเจริญในท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนผ่าน ทุ่งนาเหล่านี้คงอยู่ได้อีกไม่นานคงต้องแปรสภานกลายเป็นหมู่บ้านไปเหมือนที่อื่นๆ
เสียงพลุดังขึ้นอีกชุดหนึ่งจากคนบอกเวลานั่นแสดงว่าได้เคลื่อนศพขึ้นสู่เมรุเผาศพแล้ว ใกล้เวลาที่จะทอดผ้าบังสุกุลแล้ว เห็นทีจะต้องกลับเข้าวัดเข้าสู่บริเวณงานเสียที วันนี้มางานศพกลับไปรับรู้เรื่องของการจุดพลุงานศพและการพยายามมองความงามจากทุ่งนา แม้จะเป็นความธรรมดาที่สามารถเห็นได้ทั่วไป แต่นานๆได้สัมผัสความธรรมดาก็กลายเป็นธรรมชาติที่งดงามได้ ความงามนั้นส่วนหนึ่งอยู่ที่คนมอง ชาวบ้านมองเห็นความงามเป็นความธรรมดา ผู้ที่พึ่งมาเยือนมองความธรรมดาเป็นความงาม ส่วนคนบอกเวลาแม้อยู่ท่ามกลางอันตรายก็เปลี่ยนอันตรายกลายเป็นความงดงาม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
30/05/56