หากนับตามปฏิทินปักขคณานาแล้ว วันนี้แรม 1 ค่ำ เดือน 4 เป็นวันเริ่มต้นของฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีวิธีนับโดยแบ่งช่วงเวลาปีหนึ่งมีสามฤดูคือฤดูร้อน ฤดูฝนและฤดูหนาว โดยฤดูร้อนเริ่มต้นกลางเดือนสี่ไปสิ้นสุดกลางเดือนแปด ฤดูฝนจากกลางเดือนแปดไปสิ้นสุดกลางเดือนสิบสอง และฤดูหนาวเริ่มจากกลางเดือนสิบสองไปสิ้นสุดกลางเดือนสี่ โดยกำหนดตามเวลาในวันข้างขึ้นข้างแรมไม่ได้กำหนดวันตามปฏิทิน ดังนั้นในแต่ละปีวันเริ่มต้นและสิ้นสุดฤดูกาลจึงกำหนดวันตามปฏิทินทั่วไปไม่ได้ เพราะกำหนดตามปฏิทินปักขคณนานั่นเอง
พระอุโบสถวัดมัชฌันติการามที่สร้างมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2417 ปัจจุบันทรุดโทรมไปตามกาลเวลา คณะกรรมการวัดจึงมีมติให้มุงหลังคาใหม่ ซึ่งจะต้องรื้อหลังเก่าทิ้งไป ช่างได้เริ่มต้นในการซ่อมแซมมาหลายวันแล้ว กำหนดเวลาไว้หนึ่งปีจึงจะแล้วเสร็จ งานนี้งานใหญ่ต้องค่อยๆทำ เพราะหากขืนรีบร้อนทำพระอุโบสถทั้งหลังอาจจะพังทลาย ซ่อมเพียงหลังคาไม่เท่าไหร่ แต่หากเริ่มต้นสร้างพระอุโบสถใหม่นั่นคืองานใหญ่อย่างแท้จริง
พระอุโบสถถือว่าเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในวัดแต่ละแห่ง เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานของแต่ละวัด บางองค์มีอายุนานนับพันปีก็มี นอกจากนั้นพระอุโบสถยังใช้เป็นที่ทำสังฆกรรมเช่นลงพระปาฏิโมกข์ ใช้ในการอุปสมบท ตลอดจนสวดมนต์ไหว้พระทำวัตรเช้าเย็น เมื่อเกิดการทรุดโทรมก็ต้องทำการบูรณะซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพที่พร้อมจะใช้งานได้
รอบๆพระอุโบสถมีที่บรรจุกระดูกคนที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นช่องเล็กๆพอใส่ภาชนะที่ใส่กระดูกคนตายไว้ข้างในจากนั้นก็ปิดปูนติดภาพพร้อมทั้งประวัติผู้ที่เสียชีวิตว่าชื่ออะไร นามสกุลอะไร เกิดเมื่อไหร่ เสียชีวิตเมื่อไหร่ จะได้เป็นการบ่งบอกว่าช่องเก็บกระดูกนั้นเป็นของใคร
เมื่อเดินดูนายช่างเขากำลังรื้อหลังคาพระอุโบสถแล้ว จากนั้นจึงมาพิจารณาชื่อคนที่เสียชีวิต บางคนอายุมากแล้ว บางคนเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ห้าปี สิบปี ยี่สิบปี มีทั้งนั้น ความตายเป็นธรรมดาอย่างหนึ่งของชีวิต อายุของสัตว์ทั้งหลายมีน้อย อยู่ได้ไม่เกินร้อยปี หรือหากเกินก็ไม่มาก การมีอายุน้อยหรือมากไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะผู้ที่มีอายุน้อยแต่พิจารณาเห็นสัจธรรมของชีวิต แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวก็ประเสริฐกว่าผู้ที่มีอายุตั้งร้อยปี
มีพุทธภาษิตในขุททกนิกาย ธรรมบท(25/18/21) อยู่บทหนึ่งว่า “โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อุทยพฺพยํ เอกาหํ ชีวิตํ เสยโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ” แปลว่า “บุคคลผู้พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐกว่าบุคคลผู้ไม่พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี” เมื่อพิจารณาย้อนกลับมายังตัวเราเอง สักวันหนึ่งก็ต้องเหลือแต่กระดูกบรรจุในช่องใดช่องหนึ่งข้างๆพระอุโบสถเหมือนคนอื่นๆ เพราะความตายคือความเป็นธรรมดาของชีวิต
วันคืนผ่านไปได้กลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์ไปด้วย ดังพุทธภาษิตที่แสดงไว้ในทุติยอายุสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค(15/445/154) ความว่า “อจฺจยนฺติ อโหรตฺตา ชีวิตตํ อุปรุชฺฌติ อายุ ขียติ มจฺจานํ กนฺนทีนํว โอทกํ” แปลว่า “วันคืนย่อมผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมรุกร้นไป อายุย่อมจรตามสัตว์ทั้งหลายไป ดุจน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ฉะนั้น” ชีวิตของแต่ละคนค่อยๆก้าวผ่านไปพร้อมกับกาลเวลา พอหมดช่วงแห่งอายุขัยก็ต้องหมดสิ้นไปเหมือนแม่น้ำน้อยที่แห้งขอดในฤดูแล้ง บางคนหมดอายุตั้งแต่ยังน้อย บางคนอยู่จนแก่ชรา นั่นก็คือความเป็นธรรมดาของชีวิต
ทุกคนต่างหนีความตายไม่พ้น จะต้องประสบพบเห็นไม่วันใดก็วันหนึ่งโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุจะเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนจะต้องตายเหมือนกัน ดังพุทธภาษิตในสัลลสูตร ขุททกนิกาย สุตตนิบาต (25/380/401) ความว่า “ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจของมฤตยู มีมฤตยูเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยกันทั้งนั้น” แปลมาจากภาษาบาลีว่า
“ทหรา จ มหนฺตา จ เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา
สพฺเพ มจฺจุวสํ ยนฺติ สพฺเพ มจฺจุปรายนาติ”
ทุกชีวิตต้องได้พบประสบพบกับความตายอย่างแน่นอน เพียงแต่ใครจะประสบก่อนหรือหลังเท่านั้นเอง พระพุทธองค์จึงทรงตรัสเตือนมิให้สาธุชนทั้งหลายตั้งอยู่ในความประมาท หากจะแปลเป็นสำนวนที่เข้าใจง่ายๆก็จะได้ความว่า
“ทั้งคนหนุ่มหรือว่าคนแก่ สุดท้ายแน่แน่ต้องตายเป็นผี
จะโง่หรือฉลาดปราชญ์เมธี ยาจกเศรษฐีเข้าโลงผีทั้งนั้น”
ธรรมดาชีวิตของสรรพสัตว์เป็นไปดั่งนี้ สรรพชีวิตมีอายุขัยไม่เท่ากัน ใครจะอยู่อาศัยในโลกนี้ได้นานกี่ปีขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้สร้างสมบ่มบารมีมาและกรรมที่ได้สร้างในปัจจุบัน บุญและกรรมเป็นของเฉพาะตนของใครของมัน เรื่องของความตายเป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่คอยติดตามตนทุกฝีก้าว หากประมาทพลาดพลั้งก็สิ้นลมหายใจได้ทันที มีผู้ประพันธ์เป็นคาถากันคนลืมตนลืมตายไว้อย่างน่าคิดว่า
“ความตายเป็นสหายสนิท ชีวิตควรเตรียมพร้อมที่อำลา
ท่านทั้งหลายจงพร่ำภาวนา เป็นมนตรากันลืมตน”
พระพุทธองค์ทรงตรัสเตือนให้บุคคลทั้งหลายพิจารณาเพื่อมิให้ประมาทเนืองๆห้าประการว่า “หนึ่งเราหนีแก่ไม่ได้ สองหนีเจ็บไข้ไปไม่พ้น สามทุกคนต้องตาย สี่ต้องจากไกลของรัก ห้าต้องเป็นไปตามวัฏฏะของกรรม” ผู้ใดสิ้นกรรมห้ำหั่นกิเลสได้นั้นแหละจึงพ้นจากวัฏฏะ
เมื่อทุกชีวิตจำต้องประสบพบต่อความตายเช่นนี้จึงไม่ควรประมาทมัวเมาในชีวิตจนเกินงาม รีบหาทางแก้ไขเตรียมตัวไห้พร้อมซักซ้อมให้ดี จะได้ไม่เสียทีเสียท่าเมื่อเวลาความตายมาถึงเข้า คือต้องเตรียมเสบียงคุณธรรมความดีบุญกุศลไปในภพหน้าให้พร้อม
ที่บริเวณกำแพงรอบๆพระอุโบสถที่มีป้ายบอกชื่อนามสกุลของผู้วายชนม์ ยังมีฝูงนกพิราบกำลังกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน พวกเขาคงๆไม่รับรู้อะไร ไม่สนใจเรื่องการทำบุญ ทำกุศลอะไร ขอเพียงให้มีอาหารอิ่มท้องไปวันๆ ชีวิตกดำเนินต่อไปได้ แต่มนุษย์ได้ชื่อว่าเจริญกว่าสัตว์ทั้งหลาย นอกจากจะมีอาหารกินให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีอาหารของใจอีก จิตใจที่เข้าใจในชีวิต เข้าใจสัจธรรมของโลกที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มนุษย์มาสู่โลกนี้ อาศัยอยู่ในโลกนี้ต่างก็มีเวลาจำกัด แต่ละคนมีเวลาไม่เท่ากัน ส่วนการพิจารณาถึงความตายที่จะต้องมาเยือนในวันข้างหน้า อันจะเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจให้ทำความดีเข้าไว้ หากมีคุณความดีพร้อมแล้ว แม้จะตายในวันใดวันหนึ่งชีวิตก็ไม่สูญเปล่า
เด็กๆขี่รถเล่นอย่างเพลิดเพลินใกล้ๆต้นไม้ที่กำลังออกดอกๆกำแพงวัดเบ่งบานสะพรั่ง วันเริ่มต้นฤดูร้อนอากาศไม่ได้ร้อนเท่าใด ยังมีกระแสลมโชยแผ่วสัมผัสกายให้หายร้อน ยังมีมวลบุบผานานาพรรณชูดอกออกผลให้ได้ทัศนา ร้อนหรือเย็นเป็นเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศภายนอก ความร้อนและความเย็นภายในจิตใจของแต่ละคนต่างหากที่จะเป็นที่พักพิงของเราได้
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
27/03/56