ว่ากันว่าคนในสมัยปัจจุบันมีคุณธรรมจริยธรรมน้อยลง จนถึงกับมีหน่วยงานบางแห่งต้องรณรงค์เพื่อปลูกฝังคุณธรรมให้แก่คนในสังคมเพื่อที่จะทำให้สังคมมีปัญหาน้อยลง และทำให้สังคมมีความสงบร่มเย็นมากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันสังคมกำลังมีปัญหาที่สลับซับซ้อนมากขึ้น แก้ไขยากขึ้นทุกวัน แต่การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมนั้นจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ จะทำให้คนในสังคมสำนึกถึงความความดีอย่างไรยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ บางคนบอกว่าเริ่มตั้งแต่ยังเด็ก บางคนบอกว่าเริ่มตอนไหนก็ได้ เพราะคุณธรรมความดีทำเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนั้น
มีใครไม่รู้เคยบอกว่า “มนุษย์เรานั้นมักจะเลือกเชื่อและฟังคนอื่นตามอายุขัย เด็กอนุบาลเชื่อฟังพ่อแม่ เด็กปฐมเชื่อฟังครู ชั้นมัธยมเชื่อเพื่อน ปริญญาตรีเชื่อตำรา ปริญญาโทเชื่อตัวเอง พอถึงปริญญาเอก ไม่เชื่อใครทั้งนั้นแม้แต่ตัวเอง บางคนบอกว่าคนจบปริญญาเอกไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น แม้แต่ตัวเอง”
เด็กๆยังเชื่อพ่อแม่ หากพ่อแบบเป็นแบบอย่างที่ดี เด็กก็จะเริ่มต้นเดินในทางที่สมควร การเป็นพ่อแม่ที่สอนลูกให้เป็นคนดีนั้น มีคนเคยกล่าวไว้สั้นๆว่า “ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัส”
“ทำให้ดู” คืออยากจะสอนอะไรก็ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ผู้เขียนเองสมัยเป็นเด็กชอบเดินตามแม่ไปใส่บาตรพระในตอนเช้า พอพระเดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านก็จะนั่งประนมมือมองหน้าหลวงพ่อ บางครั้งหลวงพ่อก็จะเอ่ยทักว่า “ไอ้หนูชื่ออะไร” เมื่อบอกชื่อหลวงพ่อไป อีกสองสามวันต่อมาหลวงพ่อก็ถามคำเดิมอีก ถามอยู่อย่างนั้นจนคุ้นเคยกับหลวงพ่อ พอสายมาหน่อยแม่ก็จะพาไปวัด ไม่ได้ไปเพราะเลื่อมใสศรัทธาอะไร แต่ไปเพราะอยากกินขนมที่เหลือจากพระเท่านั้น แต่เพราะแม่ “ทำให้ดู” เลยไหว้พระสวดมนต์ได้มาตั้งแต่เด็ก แบบอย่างที่ดีอย่างหนึ่งจึงเริ่มต้นที่แม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
“อยู่ให้เห็น” ชาวชนบทจะรับประทานอาหารพร้อมกัน หากใครยังไม่มาก็ต้องรอ จนกว่าจะพร้อมหน้ากันจึงเริ่มรับประทานอาหาร ซึ่งอย่างน้อยก็วันละครั้ง ส่วนมากจะเป็นตอนเย็น เพราะทุกคนเสร็จภารกิจหมดแล้ว ทุกคนในครอบครัวจึงอยู่กันพร้อมหน้า ใครหายไปไหนก็ต้องรู้เป็นปรัชญาง่ายๆที่ใช้ได้ผล หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็ทำงานพอให้อาหารย่อย พ่อสานตะกร้า หรือทำงานที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ทำนา ส่วนแม่ก็ทอผ้า ปั่นด้าย เย็บปะเสื้อผ้าที่ขาด จากนั้นก็เข้านอน โลกของคนในเมืองใหญ่เป็นอย่างไรไม่ทราบมีโอกาสรับประทานอาหารเย็นร่วมกันหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ทราบจริงๆ แม้จะอยู่อาศัยในเมืองหลวงมานานหลายปี แต่ก็อยู่อย่างผู้ที่ไม่รับประทานอาหารในเวลาเย็น
“เย็นให้สัมผัส” พ่อแม่มีธรรมชาติประจำตัวอย่างหนึ่งคือเป็นเหมือนพรหมของลูก ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า “พรหมวิหาร” ดังที่แสดงไว้ในโทณสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต (22//192/229) ความว่า “เขามีใจประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแผ่ไปตลอดทิศทั้งสี่ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่าในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ เธอเจริญพรหมวิหารสี่ประการนี้แล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติพรหมโลก”
จากเนื้อความในโทณสูตรมีคำอธิบายสรุปได้ดังนี้ คือ(1)เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า (2) กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์ (3) มุทิตา ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป (4) อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน
หากจะแสดงความหมายของพรหมวิหารได้ชัด สรุปได้ดังนี้ “เมื่อลูกยังเล็กเป็นเด็กเยาว์วัย พ่อแม่(เมตตา) รักใคร่เอาใจใส่ ถนอมเลี้ยงให้เจริญเติบโต ( 2) เมื่อลูกเจ็บไข้เกิดมีทุกข์ภัย พ่อแม่( กรุณา) ห่วงใยปกปักรักษา หาทางบำบัดแก้ไข (3)เมื่อลูกเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวสวยสง่า พ่อแม่ (มุทิตา) พลอยปลาบปลื้มใจ หรือหวังให้ลูกงามสดใสอยู่นานเท่านาน (4)เมื่อลูกรับผิดชอบกิจหน้าที่ของตนขวนขวายอยู่ด้วยดี พ่อ แม่ ( อุเบกขา) มีใจนิ่งสงบเป็นกลาง วางเฉยคอยดู
ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัส เริ่มต้นที่พ่อแม่ เริ่มต้นที่ครอบครัว หากครอบครัวอบอุ่น ก็จะเหมือนดินดีมีความอุดมสมบูรณ์พร้อมที่จะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ตามต้องการ เด็กก็ในทำนองเดียวกันหากมีพื้นฐานของครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่นก็พร้อมที่จะปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้เกิดขึ้นในจิตสันดานได้ง่าย คุณธรรมจริยธรรมนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ยังเด็ก ค่อยๆปลูกฝังกันทีละน้อย เหมือนปลูกพืชที่จะต้องคอยเอาใจใส่จนเจริญงอกงาม รากก็มั่นคงหยั่งลึกลงในดิน แข็งแรงทนทาน แต่คนเดี๋ยวนี้ชอบนำต้นไม้ใหญ่มาปลูก โตเร็วแต่ไม่ทนทาน รากฐานไม่แกร่งพอ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
01/12/55