เช้าวันนี้น้ำในคลองหน้าวัดสงบนิ่งหยุดไหลไปแล้ว เป็นผลมาจากเมื่อคืนที่ผ่านมาทางวัดได้จัดงานประเพณีลอยกระทง ทางกรุงเทพมหานครจึงเอื้ออำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ปล่อยน้ำให้ไหลนองสมกับเนื้อหาส่วนหนึ่งในบทเพลงวันลอยกระทงที่ว่า “วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง... ซึ่งน้ำก็เต็มตลิ่งจริงๆอย่างน้อยก็หนึ่งคืน พอรุ่งเช้าก็เข้าสู่สภาพปรกติคือน้ำเน่าเหมือนเดิม พร้อมกับบทเพลงวันลอยกระทงก็เงียบหาย ผู้คนกลับไปทำงานตามปรกติ หมดสิ้นหน้ากฐิน ตามปฏิทินของทางพระพุทธศาสนาก็หมดหน้าฝน เริ่มต้นหน้าหนาวเป็นวันแรก หากจะเรียกขานด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมที่สุดในยามนี้น่าจะเป็นปลายฝนต้นหนาว
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนบ่อยประเดี๋ยวฟ้าครึ้มลมครวญ ฝนที่ไม่มีเค้าก็ตกลงมาดื้อๆ ในวันลอยกระทงก็เฉกเช่นเดียวกัน ฝนตกลงมาตั้งแต่ตอนกลางวัน ดูจากสถานการณ์แล้วลอยกระทงปีนี้คงเงียบเหงา เพราะคนคงไม่อยากออกนอกบ้านเพราะกลัวฝนอย่างหนึ่ง ลอยกระทงหน้าจอโทรทัศน์คงเหมาะกับบรรยากาศในวันลอยกระทงปีนี้
แต่สิ่งที่คาดเดาไม่ได้กลับแปรเปลี่ยนไปอีกทาง เมื่อฝนหยุดดินชุ่ม น้ำก็นองเต็มสองตลิ่ง ผู้คนไม่รู้มาจากไหนพากันมาบูชากระทงที่ทางวัดทำขึ้น ใช้เวลาไม่นานก็หมด จนผลิตไม่ทัน ประมาณสามทุ่มกระทงจำนวนกว่าห้าร้อยอันก็หมดเกลี้ยง กระทงที่วัดมัชฌันติการามทำจากวัสดุธรรมชาติล้วนๆ มีต้นกล้วย ดอกไม้ เป็นต้น จะมีวัสดุสำเร็จรูปบางอย่างเช่นธูปเทียน ซึ่งผลิตเองไม่ได้แซมอยู่ในกระทง ดังนั้นถึงจะปล่อยกระทงลอยลงน้ำก็ไม่ทำให้เกิดมลภาวะแต่ประการใด วัสดุธรรมชาติย่อยสลายได้ง่าย
ปีนี้มีคนนำแผ่นซีดีเพลงลอยกระทง(ลิขสิทธิ์ถูกต้อง) มีทั้งเพลงไทยและเพลงฝรั่งผสมกันไป ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเปิดเพลงไปบรรยายความสำคัญ ความเป็นมา และวัตถุประสงค์ของวันลอยกระทงไปเรื่อยๆ เพราะโฆษกเจ้าประจำที่เคยประชาสัมพันธ์ในวัดไม่ปรากฏกาย ทราบมาภายหลังว่าไปรับงานจากที่อื่น เพราะคิดว่าทางวัดจะไม่จัดงานลอยกระทง หลวงตาไซเบอร์จึงทำหน้าที่เป็นโฆษกงานวัดจำเป็น ทำหน้าที่กึ่งๆดีเจ เปิดเพลงลอยกระทงและประชาสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปสักพักมีคนมามุงดูที่แผนกจำหน่ายกระทงสงสัยใคร่รู้ว่าเขามาทำอะไรกัน มองเห็นฝรั่งสองคนมาช่วยเป็นอาสาสมัครจำหน่ายกระทงกับเขาด้วย พอได้ยินเพลงลอยกระทงเวอร์ชั่นฝรั่งเขาก็ออกลีลาท่าทางไปกับสียงเพลง เต้นแบบฝรั่งรำแบบฝรั่งแม้จะดูเก้งก้างแต่ก็น่ารักแปลกตาไปอีกแบบ ดูเขาสนุกสนาน ทราบมาภายหลังว่าฝรั่งคนนี้มีภรรยาเป็นคนไทยที่มีถิ่นพำนักข้างๆวัด ปีนี้มาเยี่ยมบ้านจึงครอบครัวพร้อมทั้งลูกๆมาเที่ยงงานวัดในวันลอยกระทงไปด้วย
งานลอยกระทงปีนี้ไม่มีรูปแบบใครมาก่อนลอยก่อน เสร็จแล้วแยกย้ายกันไป ส่วนหลวงพ่อเจ้าอาวาสและคณะสงฆ์ได้ฤกษ์ลอยกระทงเกือบสี่ทุ่ม หลวงพ่อเจ้าอาวาสยกกระทงขึ้นอธิษฐานนานเป็นพิเศษไม่กล้าถามว่าท่านกำลังอธิษฐานว่าอย่างไร ปีนี้หลวงพ่อมีงานใหญ่รออยู่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะในนามว่า “พระพุทธิสารโสภณ” จะเข้าพัดยศในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ที่จะถึงนี้ที่พระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย และมีงานฉลองสมณศักดิ์ที่วัดมัชฌันติการาม ต่อไปก็ต้องเรียกหลวงพ่อว่า “ท่านเจ้าคุณ” เป็นเจ้าคุณรูปแรกของวัดในรอบ 138 ปี เพราะตั้งแต่เริ่มตั้งวัดมัชฌันติการามมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2417 เป็นต้นมา มีเจ้าอาวาสมาแล้วหลายรูป แต่เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันเป็นเจ้าคุณรูปแรกของวัด
ตอนนั้นท่าน้ำหน้าวัดคนเบาบางลงมากแล้ว เหลือบไปเห็นสามเณรพงษ์ ซึ่งมาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ รูปร่างเล็กแต่กระทงมีขนาดใหญ่มาก จึงขอสัมภาษณ์ว่าปีนี้อธิษฐานอะไรเป็นพิเศษ
สามเณรพงษ์ตอบว่า “ผมอธิษฐานสั้นๆครับ ขอให้สอบนักธรรมชั้นตรีได้ และขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิต” แม้จะคิดแย้งในใจว่าการสอบได้หรือสอบตกไม่น่าจะเกี่ยวกับคำอธิษฐาน น่าจะขึ้นอยู่กับการดูหนังสือ และทำข้อสอบถูกต้องมากกว่า แต่ก็ไม่ได้แย้งแต่อย่างใด บางทีการอธิษฐานก็ทำให้มีกำลังใจ
คืนวันลอยกระทงอากาศเย็นสบายต้องนอนห่มผ้า เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวจริงๆแล้ว แต่สมัยปัจจุบันเกือบจะเอาชนะธรรมชาติได้แล้ว แทบจะไม่รู้จัก ร้อน หนาว เพราะมีเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิคงที่ตามที่ต้องการ แต่สมัยโบราณ การปรับอุณหภูมิขึ้นอยู่กับการเปิดปิดประตูหน้าต่าง ดังที่มีหลักฐานแสดงไว้ใน พระวินัยปิฎก มหาวรรค(4/93/105) ตอนหนึ่งว่า “ถ้าลมเจือด้วยผงคลีพัดมาแต่ทิศตะวันออก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวันออก ถ้าพัดมาแต่ทิศตะวันตก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวันตก ถ้าพัดมาแต่ทิศเหนือ พึงปิดหน้าต่างด้านเหนือ ถ้าพัดมาแต่ทิศใต้ พึงปิดหน้าต่างด้านใต้ ถ้าฤดูหนาวพึงเปิดหน้าต่างกลางวัน กลางคืนพึงปิด ถ้าฤดูร้อน พึงปิดหน้าต่างกลางวัน กลางคืนพึงเปิด”
สรุปได้ว่าการรู้จักปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับฤดูกาลก็สามารถอยู่กับอากาศที่แปรแปรวนเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน หน้าร้อนให้ปิดหน้าต่างตอนกลางวัน พอตกกลางคืนเปิดหน้าต่างออกอุณหภูมิความร้อนจะได้ระบายออก หน้าหนาวเปิดหน้าต่างกลางวันเพื่อรับแสงแดด ส่วนกลางก็ปิดหน้าต่างเพื่อให้เกิดความอบอุ่น วิธีสู้กับธรรมชาติง่ายๆที่ใช้ได้ผล แต่คนปัจจุบันไม่ค่อยได้เปิดหรือปิดหน้าต่างกันแล้ว
ตามปฏิทินของพระพุทธศาสนาปีหนึ่งมีสามฤดู โดยกำหนดไว้พอสังเขปดังนี้ หน้าหนาวเริ่มจากกลางเดือนสิบสองไปสิ้นสุดกลางเดือนสี่ หน้าร้อนเริ่มจากกลางเดือนสี่ไปสิ้นสุดกลางเดือนแปด ส่วนหน้าฝนเริ่มจากกลางเดือนแปดไปสิ้นสุดกลางเดือนสิบสอง วันลอยกระทงของทุกปีจึงเป็นช่วงรอยต่อของฤดูกาล คือปลายฝนและต้นหนาว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
29/11/55