หากใครเกิดมาแล้วไม่เจ็บไม่ป่วยเลยถือว่าเกิดมาโชคดี มีบ้างบางคนแทบจะไม่เคยมีโรคเบียดเบียนเลย ป่วยครั้งแรกครั้งเดียวก็เป็นอันหมดสิ้นกันไม่มีโอกาสป่วยเป็นครั้งที่สอง แต่สำหรับคนทั่วไปก็ต้องมีสักครั้งที่จะต้องเข้าโรงพยาบาล แม้จะไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ แต่อย่างน้อยก็ต้องรอ คือรอว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวของตนเองที่แพทย์จะเรียกพบ ช่วงเวลานั้นดูเหมือนเวลาจะหมุนช้ากว่าปรกติ เวลาเดิมนาฬิกาเรือนเดิม แต่ความรู้สึกของคนป่วยคิดเอาเองว่าช่างนานแสนนาน
โบราณว่าคนเราจะเห็นใจกันนั้นในสี่ยาม หรือจะเรียกว่า“สีจอ” ก็ได้ สี่จอที่ว่าได้แก่ “ยามจน ยามจร ยามเจ็บ และยามจาก” คนเราหากไม่จนจริงๆมักจะไม่ค่อยบากหน้าไปหาใคร การที่จะเอ่ยยืมเงินใครสักคนหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนเล่นตั้งป้อมไว้ก่อนเลยว่าจะคุยอะไรก็ได้ ขออะไรก็ได้ แต่อย่าขอยืมเงิน คนที่กำลังไม่มีทางออกเลยพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ยามจน ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีคนจนมากที่สุดก็คืออินเดียตามสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์มักจะพบเห็นคนขอทานจำนวนมากมีทุกเพศทุกวัย เขาขอทานเป็นอาชีพ อาชีพนี้ไม่ได้น่ารังเกียจแต่ประการใด หากคิดในแง่ดีเมื่อมีคนขอจะได้บำเพ็ญทานบารมี แต่ต้องเลือกให้ในเวลาที่เหมาะสม อย่าเผลอไปให้ในเวลาที่มีขอทานมากๆ เพราะคนเหล่านั้นจะกรูกันเข้ามาแย่งกันขอ คนใจบุญที่กำลังที่ให้ทานต้องรีบหนีให้ทัน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดจลาจลย่อยๆ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีใครอยากเกิดมาจน แต่เมื่อเกิดมามีชีวิตแล้วก็ต้องหาทางเอาตัวให้รอด
ยามจร ในที่นี้หมายถึงเวลาเดินทางไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน ในยามที่ไม่ค่อยจะมีเงินจะไปพักพาอาศัยตามสถานที่พักต่างๆที่จะต้องใช้เงินทำไม่ได้จึงต้องหาที่หลับนอนเท่าที่จะหาได้ ครั้งหนึ่งหลวงตาไซเบอร์ฯ เป็นคนจรเดินทางในอินเดียตั้งใจว่าจะเดินทางจากเมืองคยาไปยังเมืองเดลีโดยได้จองตั๋วรถไฟล่วงหน้าไว้หลายวันแล้ว แต่พอถึงเวลาเดินทางรถไฟขบวนนั้นเกิดเปลี่ยนแปลงเวลากะทันหัน จากที่กำหนดไว้สองทุ่มต้องเปลี่ยนเวลาไปเป็นตอนเช้าแปดนาฬิกา ครั้นจะกลับไปพักที่พุทธคยาก็เกรงว่าจะไม่ทันรถ จึงต้องหาที่หลับนอนนั่งกอดกระเป๋าเดินทางแทรกอยู่กับผู้โดยสารคนอื่นๆที่สถานีรถไฟ คืนนั้นจึงต้องหลับๆตื่นๆตลอดคืน ในกระเป๋ามีกล้องถ่ายรูปอยู่อันหนึ่ง คนอินเดียมักจะพูดกันเสมอว่าไม่จำเป็นอย่าเข้าใกล้พวกวิหารี หมายถึงคนจากรัฐพิหาร เขาถือว่าเป็นคนโหดเหี้ยมป่าเถื่อนที่สุดในบรรดาคนทั้งหลายในอินเดีย ทั้งๆที่รัฐพิหารแห่งนี้ในอดีตคือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พระไทยรูปหนึ่งอธิบายให้ฟังว่า “คนดีรู้ธรรมตามพระพุทธเจ้าในสมัยนั้นหมดแล้ว พิหารในปัจจุบันจึงมีคนร้ายมาก” กว่าจะได้ออกเดินทางจริงเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงสองทุ่มของอีกวัน เรียกว่าเปลี่ยนเวลากันยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยทีเดียว มารู้ภายหลังว่ามีรถไฟอีกขบวนหนึ่งตกรางจึงต้องเสียเวลาในการเก็บกู้ จึงเป็นโชคร้ายของคนจรที่บังเอิญเป็นทั้งคนจนในเวลาเดียวกัน
ยามเจ็บ คนเราไม่ได้ป่วยทุกวัน แต่หากเกิดเจ็บป่วยแต่หาหมอรักษาไม่ได้ จะทำอย่างไร คนที่มีครอบครัวที่อบอุ่นจะได้เปรียบคนโสดก็ตรงนี้ เพราะในยามเจ็บป่วยอย่างน้อยก็มีคนนำส่งโรงพยาบาล มีคนคอยเฝ้าไข้ คนป่วยมักจะมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย เพราะคิดมากจนวุ่นวายใจ บางครั้งป่วยด้วยโรคธรรมดาแต่คิดมากจนโรคธรรมดากลายเป็นโรคที่ร้ายแรงขึ้นมา คนป่วยเพราะความคิดก็มี ป่วยกายพอรักษาได้ แต่หากป่วยใจก็ยากจะรักษา
ยามจาก หมายถึงเวลาที่มีคนที่รู้จักเสียชีวิต ตามธรรมเนียมของคนไทยคนตายต้องไปเผาผี แม้ว่าในช่วงที่มีชีวิตอยู่จะไม่ค่อยได้คบหากันเท่าไหร่ หรือบางคนมีเรื่องขัดข้องหมองใจกัน แต่เมื่อเวลาที่เสียชีวิตอย่างน้อยก็ต้องร่วมงานเผาผี จะได้ขอขมาลาโทษ ให้อโหสิกรรมกันจะอย่าจองเวรจองกรรมกันเลย แม้ว่าคนที่เสียชีวิตแล้วจะไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่การแสดงมโนกรรมอย่างนี้เป็นผลดีกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องที่แล้วไปแล้วก็ขอให้ผ่านไป ส่วนเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นถึงคิดไปก็ไร้ประโยชน์
พระพุทธศาสนามีคำสอนอยู่สูตรหนึ่งว่าด้วยไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว และไม่ควรมุ่งหวังถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดังที่แสดงไว้ภัทเทกรัตตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ (14/526/265) “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว” ภาษาบาลีว่า “อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ยทตีตมฺปหีนนฺตํ อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ”
เนื้อหาในพระสูตรนี้พระพุทธเจ้าอยากแสดงเองโดยไม่ต้องมีใครถาม จากนั้นพระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสต่อไปว่า “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ”
มนุษย์เมื่อตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “จน จร เจ็บ และจาก” ย่อมจะต้องมีความเดือดร้อนตามธรรมดา คนจนนั้นหากจนเพราะไม่มีก็ยังพอทำเนา แต่หากเป็นคนจนเพราะไม่รู้จักพอ คนจนประเภทนี้น่ากลัว เพราะเขาจะไม่ทางร่ำรวยเลย ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ สำหรับคนจรหากจรเพราะอยากจรเองก็เป็นธรรมดาย่อมต้องมีความเดือดร้อนบ้าง คนเดินทางไกลหากไม่มีที่พักจึงเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ถ้าหากเป็นคนจรที่ยังพอมีเงินก็คงไม่เป็นไร บางทีคนจรอาจจะมีความสุขก็ได้ คนเจ็บหากไม่มียารักษาจะไปหาหมอก็ไม่มีเงิน คนประเภทนี้น่าสงสารและลำบากที่สุด ส่วนคนจากอาจจะหมายถึงคนสองประเภทคือจากไปเพราะไม่อยากอยู่ และจากไปทั้งๆที่ยังอยากอยู่ต่อไป
วันนั้นหลวงตาไซเบอร์ฯเดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราชในฐานะคนป่วย เดินผ่านหน้าวัด ยายคนเก็บขยะยกมือไหว้และยังเอ่ยทักว่า “หลวงพ่อวันนี้ยายเก็บของเก่าได้เยอะมาก หากขายได้เงินยายจะมาทำบุญ หลวงพ่ออยากฉันอะไรยายจะหาซื้อมาถวาย” ยายยังอารมณ์ดี แม้คนอื่นจะมองว่ายายเป็นคนจน แต่สำหรับยายแล้ว เงินที่ได้จากหยาดเหงื่อแรงกายคือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า วันนั้นไม่กล้าบอกยายว่ากำลังจะไปโรงพยาบาล แต่บอกยายว่า พรุ่งนี้ยายไปเอาขวดน้ำเปล่าไปขายก็แล้วกัน ยังเหลืออยู่ที่กุฏิอีกหลายขวด หากยายแวะร้านขายขนมครกฝากซื้อมาด้วย อาตมาอยากฉันขนมครก เขาว่าร้านนั้นอร่อยมาก ยายรับปาก ก่อนจะลากรถเข็นหายไปในซอย
แพทย์นัดผ่าตัดเวลาบ่ายโมงไปถึงโรงพยาบาลก่อนเวลาสิบห้านาที ติดต่อรายงานตัวเสร็จเรียบร้อย พยาบาลบอกให้นั่งรอ ในขณะนั้นมีคนป่วยหลายคนที่ป่วยในลักษณะเดียวกันทยอยเข้าห้องผ่าตัด เกิดนึกกลัวขึ้นมาในบัดเดี๋ยวนั้นกลัวเจ็บ ทั้งๆโรคที่จะต้องผ่าตัดเป็นเพียงก้อนเนื้อชิ้นเดียว ซึ่งงอกขึ้นบนศีรษะมานานครบสิบสามปีแล้ว แต่ก่อนก็มีขนาดเล็กๆ แต่พอนานเข้าจึงมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นต้องตัดทิ้งไป หากปล่อยไว้มีแต่จะรำคาญและอาจจะลุกลามกลายเป็นเนื้อร้ายที่ไม่มีทางรักษาก็ได้
ในขณะที่หลวงตาไซเบอร์ฯกำลังรอแพทย์ผ่าตัดเนื้องอกที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น วันนั้นมีเพียงอุบาสิกาสูงอายุสองท่านที่คอยจัดการเรื่องต่างๆให้ ก็ยังถือว่ามีญาติที่คอยดูแลในยายเจ็บป่วย แต่ขณะที่กำลังรอเวลาผ่าตัดนั้นต้องอยู่คนเดียวในท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก
ลุงคนหนึ่งกำลังรอเข้าห้องผ่าตัดเหมือนกัน เดินเข้ามานั่งอยู่ที่เก้าอี้ติดกัน จึงชวนคุยเพื่อรอเวลา คุณลุงมีก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นที่ระหว่างคอด้านหลัง คุณลุงบอกว่าก็พึ่งมีก้อนเนื้อมาสักสี่ห้าปีนี่แหละครับ พักหลังมันปวดทำงานไม่ค่อยได้ กินแต่ยาแก้ปวด ผมมีอาชีพทำไร่ บ้านอยู่ลพบุรี ต้องทำงานในไร่ ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาถามชื่อ นามสกุล อายุ อาชีพ เพื่อทดสอบความทรงจำหรือเกรงว่าจะเป็นคนป่วยผิดคน จากนั้นก็พาเข้าห้องผ่าตัด คนเจ็บคุยกันแม้จะไม่นานแต่ก็เข้าใจกันได้เพราะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
ช่วงนั้นเงียบมากมีเพียงพยาบาลที่เดินไปเดินมา นั่งทำใจสงบอยู่คนเดียวเหมือนกับว่าโลกนี้มีตัวเราเองอยู่คนเดียว มีชีวิตเดียว เกิดมานานแล้ว หากจะมีอันเป็นไปก็ไม่ต้องห่วงกังวลถึงสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ท่องคาถาในภัทเทกรัตตสูตรไปเรื่อยๆ “อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ยทตีตมฺปหีนนฺตํ อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ ฯลฯ ” ท่องจบไปหลายจบ แปลในใจคนเดียวไปด้วย จิตใจจึงสงบ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อดีต อนาคตอย่าไปนึกถึง คิดถึงปัจจุบันเข้าไว้
ไม่นานพยาบาลก็มาเรียกถามชื่อ อายุ แต่ไม่ถามอาชีพ จากนั้นก็พาเข้าห้องเตรียมผ่าตัด เนื่องจากก้อนเนื้ออยู่หลังศีรษะจึงต้องนอนคว่ำ แพทย์เป็นผู้ชายชวนคุยสักพักก็เริ่มฉีดยาชา จำไม่ได้ว่าฉีดไปกี่เข็ม เมื่อยาชาออกฤทธิ์ก็เริ่มลงมือผ่าตัด แพทย์อารมณ์ดีผ่าไปคุยเล่นสนุกกับพยาบาลไป คนไข้ยังมีสติเพราะไม่ได้หลับ เสียงอุปกรณ์ในการผ่าตัดดังแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ เลือดไหลซึมมาเข้าตา แต่ตอนนั้นไม่กล้าบอกจึงขยับตัวนิดหนึ่ง แพทย์จึงถามว่าเป็นอะไรเจ็บหรือหลวงพ่อ จึงมีโอกาสบอกสั้นๆว่าเลือดเข้าตา
เสียงโทรศัพท์แทรกเข้ามาได้ยินเสียงแพทย์คนที่กำลังผ่าตัดวางมือคุยโทรศัพท์ จับใจความได้ว่ากำลังจะนัดไปทานข้าว แพทย์บอกว่ารอสักยี่สิบนาทีกำลังผ่าตัดอยู่ จากนั้นก็เริ่มทำงานต่อไป ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณหนึ่งชั่วโมง ก้อนเนื้อที่เคยอยู่ร่วมกันมานานสิบสามปีก็ต้องจากไป เป็นการจากไปที่ไม่ได้มีความห่วงใยอะไรเลย บอกกับตัวเองว่าจากไปเสียได้ก็ดีเนื้อก้อนนั้นมีขนาดเท่าไข่แดงขนาดใหญ่
ตอนที่แพทย์กำลังผ่าตัดอยู่นั้นกลับย้อนคิดไปถึงช่วงที่คุยกับยายคนจนกับหลวงตาคนเจ็บกำลังคุยกัน ยายคนเก็บขยะไม่ได้คิดว่าเป็นคนจน ยายหาเงินได้ทุกวันและใช้เท่าที่มีไม่ได้เป็นหนี้ใคร ยายจึงเป็นคนรวยในหมู่คนจน ส่วนหลวงตาไซเบอร์ฯแม้จะกำลังเดินเข้าห้องผ่าตัดก็ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนเจ็บ แต่ถ้าหากแพทย์วินิจฉัยว่าก้อนเนื้อที่ตัดออกไปนั้นเป็นเนื้อร้ายตอนนั้นจึงจะเริ่มเป็นคนป่วยจริงๆ หากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงหลวงตาไซเบอร์ก็จะกลายเป็นทั้งคนจนและคนเจ็บพร้อมที่จะจรและจากครบทั้งสี่จอในคนเดียวกัน ยามเจ็บและยามจากเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของสรรพสัตว์ ความจนเป็นเรื่องที่เรานำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นและใช้เกินมี ส่วนคนจรเป็นทางที่เราเลือกเองบางคนชอบเป็นจรมากกว่าที่จะอยู่กับที่ ในยามจน ยามจร ยามเจ็บและยามจากหากมีใครให้การช่วยเหลือ เขามักจะจดจำได้ไม่ลืม วันนี้ได้พบกับสองจอแล้วคือจนและเจ็บ ส่วนจรและจากคงจะตามาในเวลาอีกไม่นาน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
14/10/55