เฝ้าสังเกตมาหลายปีแล้วก่อนออกพรรษาสักเดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือนของทุกปี มักจะมีข่าวที่ก่อไปในทางเสียหายแก่พระพุทธศาสนาปรากฎตามสื่อต่างๆ บางเรื่องร้ายแรง บางเรื่องเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่มีผลกระทบต่อส่วนรวม เหมือนปลาเน่าตัวเดียวที่ทำให้เหม็นไปทั้งข้อง ช่วงนี้ใกล้ออกพรรษาพอดีนึกว่าคงจะไม่มีข่าวไหนที่รุนแรงเกินไปกว่าวัดพระพุทธศาสนาในบังคลาเทศถูกเผาอีกแล้ว แต่ก็มีข่าวพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งนำรูปที่ไม่เหมาะสมไปเผยแผ่ทางโลกออนไลน์ เป็นภาพพระหนุ่มกำลังโชว์กล้ามเป็นมัดๆเหมือนนักกล้ามหรือนักมวยประมาณนั้น
ช่วงหลายเดือนมานี้มีคนกล่าวถึงเฟสบุ๊คกันมาก เพราะใช้ง่ายสะดวกสบาย การอัพโหลดภาพก็ทำได้ง่าย แทบจะไม่ต้องมีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอะไรเลย เพียงแต่มีคนแนะนำไม่ถึงสิบนาทีก็สามารถนำภาพที่อยากเผยแผ่ส่งไปยังคนอื่นๆได้แล้ว เมื่อคืนก่อนก็ให้พระหนุ่มรูปหนึ่งมาสอนวิธีอัพโหลดภาพใช้เวลาเพียงไม่นานภาพการประชุมพระธรรมทูตร้อยกว่าภาพก็ปรากฏบนโซเชียลเน็ตเวิร์คได้แล้ว โลกนี้ช่างง่ายดายเพียงปลายนิ้ว ต้องมาคอยนั่งลบภาพบางภาพออกไป เพราะการถ่ายภาพนั้น ตอนถ่ายไม่ได้คิดว่าภาพนั้นจะเหมาะสมหรือไม่ มีกล้องในมือได้โอกาสก็กดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ บางทีอาจจะมีภาพที่ไม่เหมาะสมได้ง่ายๆ บางครั้งแม้จะระมัดระวังแล้วก็ยังเผลอ เพราะนึกคิดเอาเองว่าภาพนั้นเหมาะสมดีแล้ว แต่ชาวโลกมองไปอีกทาง
โลกเปลี่ยนไปมาก แต่พระพุทธศาสนายังมีหลักคำสอนเหมือนเดิมกับเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คำสอนไม่ได้เปลี่ยน คนต่างหากที่เปลี่ยน แม้แต่พระสงฆ์ก็ปรับตัวให้เข้ากับความเจริญของโลก บางประเทศมีพระสงฆ์เล่นการเมืองอย่างเปิดเผย การเมืองส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เรื่องใดก็ตามหากมีผลประโยชน์และอำนาจมาเกี่ยวข้อง ความถูกต้องเที่ยงธรรมอาจจะแปรเปลี่ยนไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนและพวกพร้อง
หลายปีมาแล้วเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในศรีลังกาในยุคที่พระสงฆ์ศรีลังกาเล่นการเมืองได้ ตั้งพรรคการเมืองได้ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ปัจจุบันสภาผู้แทนราษฎรศรีลังกามีพระสงฆ์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าร่วมประชุมด้วย ข่าวว่าในการเลือกตั้งครั้งหนึ่งมีพระสงฆ์ได้รับการเลือกตั้งถึง 7 รูป ยังนึกภาพไม่ออกว่าเวลาเข้าร่วมประชุมสภาฯจะทำกันอย่างไร รายงานข่าวยังบอกว่าพระสงฆ์ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรูปหนึ่งเข้าร่วมประชุมเพียงครั้งเดียวและประกาศลาออกจากการเป็น สส. เพราะทนฟังคำเสียดสีจากนักการเมืองต่างพรรคไม่ไหว
หนังสือเล่มนั้นสมมุติเหตุการณ์ให้พระพุทธเจ้าเสด็จมายังศรีลังกาในวันที่ศรีลังกามีพระสงฆ์เล่นการเมืองได้ เรื่องนั้นพอสรุปได้ว่า “กาลครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปยังศรีลังกา วันนั้นพระพุทธองค์ไม่ได้เสด็จไปในฐานะพระพุทธเจ้า แต่เสด็จดำเนินไปในฐานะของพระสงฆ์ธรรมดารูปหนึ่งสะพายบาตร แบกกลดเดินธุดงค์ไปตามคามนิคมต่างๆ ในเกาะสิงหล เย็นวันหนึ่งผ่านไปที่เมือแคนดี้ ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากกำลังยืนรอเพื่อถวายสักการะพระเขี้ยวแก้ว พระพุทธเจ้าจึงเดินไปยังวัดแห่งหนึ่ง พระพุทธองค์แจ้งความจำนงว่าจะขอพักแรมที่วัดแห่งนี้
มีพระรูปหนึ่งออกมาต้อนรับและเอ่ยถามขึ้นว่า “หลวงพ่อสังกัดพรรคการเมืองไหน” พระพุทธองค์งงกับคำถามนั้น จึงบอกว่า “ตถาคตไม่มีพรรค ไม่สังกัดพรรคการเมืองไหนทั้งนั้น”
พระรูปนั้นจึงบอกว่า “นิมนต์ไปข้างหน้าเถิดขอรับ วัดนี้เป็นวัดของพรรคธรรมาธิปไตยเสรีนิยม ไม่รับพระสงฆ์จากพรรคการเมืองอื่น”
พระพุทธองค์จึงเดินทางต่อไป พอดีไปพบกับวัดอีกแห่งหนึ่งบรรยากาศร่มรื่น สงบ ร่มเย็น เหมาะแก่การบำเพ็ญสมาธิภาวนาจึงแวะเข้าไป พอพระสงฆ์จากวัดนั้นมาพบเข้าจึงถามว่า “หลวงพ่อสังกัดนิกายไหน” เมื่อพุทธองค์ตอบว่า “ตถาคตไม่มีนิกาย จึงไม่ได้สังกัดนิกายไหน” พระสงฆ์รูปนั้นจึงบอกว่า นิมนต์ข้างหน้าเถิดขอรับ วัดนี้สังกัดนิกายสยามวงศ์ ไม่รับพระจากนิกายอื่น”
พระพุทธเจ้าจึงต้องเดินทางต่อไป ผ่านสวนมะพร้าวของชาวบ้านหลายแห่ง เจ้าของสวนมะพร้าวแห่งหนึ่งออกมาต้อนรับนิมนต์ให้นั่ง หาน้ำดื่มมาถวาย ก่อนจะถามว่า “หลวงพ่อจะไปไหนหรือครับ นี่ก็เย็นมากแล้วขอนิมนต์พักผ่อนจำวัดให้สบายที่กระท่อมกลางสวนมะพร้าวอันเป็นเรือนว่างไม่มีใครพัก”
วันนั้นพระพุทธองค์จึงได้พักที่กระท่อมกลางสวนของชาวบ้าน เพราะวัดแรกต้องสังกัดพรรคการเมืองจึงจะพักได้ ส่วนอีกวัดต้องสังกัดนิกายเหมือนกันจึงจะพักได้ ส่วนชาวสวนมะพร้าวคนนั้นไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด นับถือพระสงฆ์ทุกนิกาย โดยมิได้แบ่งแยก พระพุทธเจ้าจึงได้พักอย่างสบายในกระท่อมของชาวสวนคนนั้น
เรื่องนี้เหตุเกิดที่ศรีลังกา ยังมาไม่ถึงเมืองไทย ถ้าสมมุติว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมางานประชุมพุทธชยันตีฉลอง 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ พระสงฆ์ผู้เข้าร่วมประชุมมาจากหลากหลายนิกาย จนดูไม่ออกว่าพระสงฆ์รูปใดคือพระสงฆ์ตามที่ดำเนินตามปฏิปทาในสมัยพุทธกาลจริงๆ คงสับสนน่าดู โอหนอศาสนาของตถาคตช่างเปลี่ยนแปลงไปมากจนแทบจะหาเนื้อแท้ไม่พบ เพราะแต่ละชาติต่างก็ยืนยันว่าแนวปฏิบัติที่ตนยึดถืออยู่นั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง
พระสงฆ์ไทยก็ยังห่มจีวรสีต่างกัน อยู่ในศาสนจักรเดียวกันห่มจีวรสีเดียวกันไม่ได้หรืออย่างไร พระสงฆ์จีนห่มสีจรที่มีสีสัน สีก็ต่างกันอีกบางรูปจีวรสีแดง บางรูปจีวรสีเหลือง บางรูปออกสีเทา พระทิเบตออกสีผสมเลยคือทั้งเหลืองและแดงอยู่ในชุดเดียวกัน บนเหลือง ล่างแดง พระพม่าห่มจีวรออกสีแดงเข้ม เวลาห่มจะนำมามาพันไว้ที่คอ ดูเป็นเอกลักษณ์ไปอีกแบบ
หนังสือเล่มนั้นเขียนในเชิงอุปมาอุปมัยได้ดีแท้ อ่านแล้วไม่ได้ถือติดมือมาด้วยลืมไว้ที่อนุราธปุระในวันที่ไปสักการะหน่อพระศรีมหาโพธิ์ วันนี้ในวันที่พระพุทธศาสนากำลังถูกคุกคามทั้งจากภัยภายนอก และจากภัยภายในคือพุทธบริษัทได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่แม้จะพยายามรักษาคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาไว้อย่างเต็มที่ แต่การเผยแผ่ก็เริ่มเปลี่ยนไปให้เหมาะกับสถานการณ์ จากที่เคยเทศน์ในวัดอย่างเดียวก็เริ่มแสดงธรรมบรรยายธรรมนอกวัดมากขึ้น ที่สำคัญยุคนี้ชาวโลกเขานิยมเล่นเฟสบุ๊ค หลวงพ่อ หลวงพี่ก็มีกับเข้าด้วย แต่หากเสนอภาพในด้านดีก็ไม่น่าจะเสียหายประการใด อย่าเอาอย่างหลวงพี่นักกล้ามสองรูปนั้นก็แล้วกัน ภาพมันไม่น่าดูอีกทั้งยังหมิ่นเหม่ต่อคำครหาและชาวโลกเขาติเตียน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
12/10/55