วันที่ 4 ตุลาคม 2555 ดวงอาทิตย์พึ่งกล่าวคำอำลาขอบฟ้าไปไม่นานรัตติกาลพึ่งเริ่มต้น ฟ้าก็ส่งเสียงคำรามมาตั้งแต่เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ลมพัดแรงมากต้นไม้ใบหญ้าปลิวว่อน เสียงหน้าต่างกุฏิที่พักที่หลุดจากตะขอเกี่ยวเสียงดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ จึงบอกให้สามเณรเดินหาว่าเสียงมาจากที่ไหนให้รีบปิดหน้าต่าง ฝนค่อยๆลงเม็ดทีละน้อย หนึ่งทุ่มครึ่งเข้าห้องเรียนเริ่มต้นสอนหนังสือ สามเณรที่เป็นนักเรียนมานั่งรออยู่แล้ว แต่พอสอนหนังสือไปได้สักพักไฟฟ้าก็ดับๆติดๆหลายครั้ง จนกระทั่งเวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบห้านาทีกระแสไฟฟ้าทั่วทั้งซอยวงศ์สว่าง กรุงเทพมหานครก็ดับสนิท ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
จึงต้องยุติการเรียนการสอนไปโดยปริยาย เพราะเมื่อไม่มีความสว่างก็อ่านหนังสือไม่ได้ พอไฟดับทั่วอาณาบริเวณจึงมืดสนิก มีเพียงไฟฟ้าจากหอพักนักศึกษาบางแห่งที่ยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง คงใช้เครื่องสำรองไฟชั่วคราว เมื่อไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้า จึงต้องหันมาใช้ความสว่างจากแสงเทียนแทน อันที่จริงเทียนในปัจจุบันที่ใช้ประโยชน์จริงๆก็ช่วงที่ทำวัตรสวดมนต์ ซึ่งวันหนึ่งใช้เพียงสองครั้งคือเช้าและเย็น ความสว่างทั้งหลายทั้งมวลจึงมาจากไฟฟ้า
โทรทัศน์รายงานข่าวมาตั้งแต่เช้าว่าในช่วงวันที่ 5-12 ตุลาคม 2555 พายุโซนร้อนแกมี Gaemi) จะเข้าประเทศไทยโดยผ่านมาทางประเทศเวียดนาม ในช่วงนี้ให้เฝ้าระวังเพราะประเทศไทยอาจจะมีฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมฉับพลัน กรมอุตุนิยมวิทยามักจะมีคำเตือนในทำนองนี้อยู่เป็นประจำ บางครั้ง ฯพณฯ ท่านรัฐมนตรีออกมาประกาศว่า “ให้ระวังฝนตกหนักและน้ำท่วมบางพื้นที่” หากเป็นเมื่อสองสามปีก่อนอาจจะมีคนหัวเราะว่า ฯพณฯ รัฐมนตรีกลัวเกินเหตุ แต่ในปี พ.ศ. นี้คำเตือนทำนองนี้มีน้ำหนัก เพราะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมายังไม่เลือนไปจากความทรงจำของประชาชน
เมื่อไม่มีไฟฟ้าใช้กรุงเทพมหานครฯบางพื้นที่จึงตกอยู่ใต้ความมืด แสงเดือนในวันแรมสี่ค่ำก็ถูกเมฆหมอกจากกลุ่มฝนบดบัง ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่อง ตอนนั้นจึงอยู่คนเดียว เพราะสั่งให้สามเณรกลับกุฏิหมดแล้ว ตั้งแต่อยู่กรุงเทพมานานหลายปีแล้ว ก็พึ่งเคยเห็นไฟฟ้าที่ดับนานที่สุดในวันนี้นี่เอง ส่วนมากหากไฟฟ้าจะดับก็มักจะมีประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ในครั้งนี้ไฟฟ้าดับโดยไม่มีใครแจ้งให้ทราบ ไฟฟ้าดับเพราะฝนตกหนัก
หากกรุงเทพมหานครไม่มีไฟฟ้าใช้จะเป็นอย่างไร คงมีผลกระทบมาก คนป่วยในโรงพยาบาลอาจเสียชีวิตกะทันหันเพราะขาดอากาศหายใจ เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายก็ใช้งานไม่ได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ก็หมดสิทธิ์ในการทำงาน ถึงจะมีแบตเตอร์รี่สำรองแต่ก็คงใช้ได้ไม่นาน เพราะพลังงานหลักยังคงมาจากกระแสไฟ ไฟฟ้าอันบ่งบอกถึงความเจริญ เพราะหากที่ไหนมีไฟฟ้าไฟถึงก็จะมีสินค้าที่จะต้องใช้ไฟฟ้าไปเสนอขาย สมัยก่อนอาจจะต้องใช้ถ่านไฟฉาย
หลวงตาไซเบอร์ฯ เป็นพระบ้านนอกเกิดและเจริญวัยในชนบทห่างไกลความเจริญ สมัยเป็นเด็กไฟฟ้าก็ยังเข้าไปไม่ถึง จึงไม่มีโทรทัศน์หรือเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างอื่นที่ต้องใช้ไฟฟ้า นอกจากวิทยุที่ต้องใช้ถ่ายไฟฉาย สมัยนั้นถ่ายไฟฉายที่ดังที่สุดต้องยกให้ถ่ายไฟฉายตรากบ คำโฆษณาน่าซื้อมากขึ้นต้นว่า “ต้นตระกูลผมแต่ปางบรรพ์ หลังย่ำสายัณห์ดวงตะวันเลี่ยงหลบ จะเดินหรือเยื้องย่างไปไหน จำเป็นต้องใช้จุดไต้จุดคบ .... ยุคนี้มันต้องทันสมัย เพื่อนผมทั่วไปใช้ถ่ายๆไฟตรากบ ......อ๊บๆ” เสียงกบร้องตอนสุดท้ายเด็กๆชอบร้องเล่นกัน เพลงนี้โด่งดังที่สุดในยุคนั้น และถ่ายไฟฉายตรากบก็ขายดิบขายดี
คำโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียงโด่งดังมาก และอีกอย่างถ่ายไฟตราอื่นๆก็มีบ้าง แต่ไม่ดังเท่าตรากบ ปัจจุบันไม่ทราบว่ายังมีขายอยู่หรือไม่ ไฟฉายก็ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว วิทยุยิ่งแทบจะไม่ได้ฟัง เพราะมีสื่ออย่างอื่นเข้ามาแทนที่ วันที่ไฟฟ้าดับค้นหาไฟฉายก็ไม่มี ยิ่งถ่านไฟฉายตรากบก็คงเลือนหายไปจากร้านค้าแล้ว ความทันสมัยในยุคสมัยหนึ่งได้กลายเป็นล้าสมัยในเวลาไม่นาน เวลาเปลี่ยนความเจริญก็พลอยเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
จะเดินทางเยื้องย่างไปไหนในกรุงเทพฯหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ก็ไม่ได้ใช้ไฟฉายแล้ว เพราะมีแสงไฟเปิดสว่างอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง ในวันที่ไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟ บรรยากาศจึงมืดมิดเหมือนจะย้อนอดีตกลับไปยังสมัยที่ยังใช้ไฟฉาย แต่ในคืนที่ไฟฟ้าดับก็พลันคิดถึงถ่ายไฟฉายขึ้นมา
สิ่งที่พอจะให้แสงสว่างได้เท่าที่หาได้คือเทียนไข หรือไฟฉายที่ยังพอมีไว้เพื่อใช้ในยายฉุกเฉิน แต่ไม่ได้ใช้ถ่ายไฟฉายตรากบแล้ว ส่วนจะเป็นตราอะไรนั้นไม่คุ้นเคย แสงสว่างในโลกนี้อาจมาจากหลายอย่าง ในพระพุทธศาสนาแสดงไว้สี่ประการดังที่ปรากฎใน ปัชโชตสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/68/17) ความว่า “ แสงสว่างทั้งหลายมีอยู่สี่อย่างในโลก แสงสว่างที่ห้ามิได้มีในโลกนี้ ดวงอาทิตย์สว่างในกลางวัน ดวงจันทร์สว่างในกลางคืน อนึ่งไฟย่อมรุ่งเรืองในกลางวันและกลางคืนทุกหนแห่ง พระสัมพุทธเจ้าประเสริฐกว่าแสงสว่างทั้งหลายแสงสว่างของพระสัมพุทธเจ้า เป็นแสงสว่างอย่างเยี่ยม”
กรุงเทพมหานครในวันที่ฝนตกหนักไม่มีแสงสว่างทั้งสี่ประการนั้นเลย ดวงจันทร์ก็ถูกเมฆบดบัง มีเพียงแสงไฟจากเปลวเทียนที่ค่อยๆกัดกินลำเทียนไปเรื่อยๆ ชีวิตมนุษย์ก็ไม่ต่างจากเทียนเท่าใดนัก แต่ละเวลาและนาทีก็ถูกความเจ็บ ความแก่ ความตายกัดกร่อนไปทีละน้อย เคยท่องจำคำกลอนบทหนึ่งได้ แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหนความว่า “เวลาและวารีมิได้มีจะคอยใคร เรือเมล์และรถไฟต้องแล่นไปตามเวลา โอ้เอ้และอืดอาดมักจะพลาดปรารถนา พลาดแล้วจะโศกาอนิจจาเราช้าไป”
ในชาดก ขุททกนิกาย ทุกนิบาต (27/95) มีคำสอนเกี่ยวกับเวลาที่ค่อยๆผ่านไป เวลากลืนกินทุกสรรพสิ่ง แม้แต่ตัวเวลาเอง ภาษิตนั้นแสดงไว้ว่า “กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา” แปลความได้ว่า “กาลเวลา ย่อมกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง”
กรุงเทพมหานครฯ ในคืนที่มืดสนิทกำลังตกอยู่ในความสงัด หากโลกนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้จริงๆก็ต้องหันกลับไปใช้แสงสว่างจากธรรมชาติแทน กลางวันใช้แสงจากดวงอาทิตย์ กลางคืนแสงสว่างจากดวงจันทร์และแสงดาว ได้แต่บอกตัวเองในคืนที่ไฟฟ้าดับว่า “โลกมืดไม่เป็นไร แต่ในจิตใจอย่าได้มืดบอดตามกระแสโลกไปด้วย” ไฟฟ้าย้อนกลับมาเป็นปรกติอีกครั้งเวลาประมาณสามทุ่มห้าสิบห้านาที ดับไปนานร่วมสี่สิบนาที แม้ไฟจะสว่างอีกครั้ง แต่ตอนนั้นไม่อยากอยู่ท่ามกลางแสงไฟแล้ว เริ่มชินกับความมืดในวันที่ไฟฟ้าดับ บรรยากาศสงบสงัดเยือกเย็นดีนักแล โลกสว่างด้วยแสงไฟ แต่ใจสว่างด้วยแสงธรรม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
05/10/55
โฆษณาถ่านไฟฉายตรากบ
http://www.youtube.com/watch?v=XMvJhe9VX-M
{youtube}XMvJhe9VX-M{/youtube}