ปลายเดือนกันยายนของทุกปีสำหรับผู้ที่ทำงานเป็นข้าราชการที่มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์จะต้องเกษียณอายุราชการ บางคนทำงานมานานถึงสี่สิบปี ตั้งแต่อายุยี่สิบปี พอมาถึงอายุครบหกสิบปีก็ถึงเวลาที่จะต้องพักผ่อนหยุดทำงานที่เคยทำประจำ หลายคนรอคอยให้ตนเองเกษียณจะได้เลิกทำงานที่น่าเบื่อหน่ายที่ทำติดต่อกันมานาน แต่สำหรับคนบางคนยังอยากทำงานต่อไป แม้จะไม่ได้ทำงานในตำแหน่งเดิมแต่อย่างน้อยก็จะได้ทำงานในส่วนที่ตัวเองชอบ งานประจำแม้ไม่ชอบแต่เพื่อปากท้องของคนอีกหลายคนก็ต้องทำ แต่งานที่ชอบนั้นแม้จะเป็นงานอดิเรกก็ทำอย่างมีความสุข
หลายปีมาแล้วลุงดีทำงานในตำแหน่งภารโรงมานานกว่าสามสิบปีแล้ว ไม่เคยทราบมาก่อนมาว่างลุงดีมีอายุครบหกสิบในปีนี้แล้ว และจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ คำนวณตามสภาพร่างกายลุงดีน่าจะมีอายุไม่เกินห้าสิบปี แต่เมื่อลุงดีบอกว่า “ผมจะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนกันยายนนี้แล้วครับ หลวงพ่อ” แม้จะอายุน้อยกว่าลุงดี แต่ลุงดีก็มักจะเรียกหลวงพ่อจนติดปาก บางครั้งนึกว่าตัวเองมีอายุมากกว่าลุงดีเสียอีก แต่ข้อเท็จจริงลุงดีมีอายุมากกว่าหลายปี
ลุงดียังบอกต่อไปว่า “ตอนทำงานผมรู้สึกเหนื่อยล้า อยากพักผ่อน แต่พอวันนั้นกำลังจะมาถึงจริงๆผมกลับกังวลใจเพราะไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร ผมไม่ได้วางแผนชีวิตไว้เลย เงินเก็บก็ไม่มี อาจจะมีเงินหลังเกษียณก้อนหนึ่งเพื่อเป็นการทำทุนในวัยชรา ผมยังมีแรงที่จะทำงานต่อไปได้อีกสักห้าหกปี แต่เขาคงไม่ให้อยู่แล้ว”
ลุงดีเป็นคนหูตึง อ่านหนังสือไม่ออก จะทำอะไรก็ต้องไหว้วานให้อื่นทำให้ มีครั้งหนึ่งลุงดีไม่สบายต้องการลาพักงานหนึ่งวันเพื่อไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แต่ไหว้วานให้เพื่อนร่วมงานเขียนใบลาให้ แต่เพื่อนแกล้งเขียนบอกว่า “ข้าพเจ้าขอลาออกจากงานตั้งแต่วันที่ตามที่ระบุในใบลา” บังเอิญใบลาฉบับนั้นมาถึงมือหลวงพ่อ เมื่อเห็นแล้วสงสัยจึงยังไม่เสนอให้ผู้มีอำนาจเซ็นอนุมัติ เมื่อลุงดีหายดีแล้วจึงเรียกมาพบ เพราะอยากรู้ว่าทำไมจึงลาออกจากงาน
ลุงดีตกใจบอกว่า “ผมลาหยุดงานหนึ่งวันไปหาหมอเท่านั้น ไม่ได้ลาออก”
เมื่อนำใบลาที่ลุงดีเซ็นมาอย่างถูกต้องให้ดู ลุงดีจึงสารภาพว่า “ความจริงผมอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ เขียนได้แต่ชื่อตัวเองเท่านั้น จดหมายฉบับนั้นผมขอให้เพื่อนคนหนึ่งเขียนให้”
จึงบอกว่า “อ้าวก็เห็นลุงดีอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ทุกวัน”
ลุงดีหัวเราะอายๆก่อนจะบอกว่า “ผมอ่านไม่ออกหรอกครับหลวงพ่อ แกล้งทำไปอย่างนั้นเอง ผมอายเหมือนกันที่แก่จนป่านนี้แล้วยังอ่านหนังสือไม่ออก” ความลับจึงถูกเปิดเผย
บางทีสิ่งที่เราเห็นด้วยตาอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ได้ เห็นรัฐบาลบอกว่าคนไทยทุกคนอ่านหนังสือออกหมดแล้ว ตามสถิติไม่มีใครที่ไม่รู้หนังสือ แต่ต้องยกเว้นลุงดีสักคนหนึ่ง ทำงานในมหาวิทยาลัยแท้ๆแต่กลับอ่านหนังสือไม่ออก
ลุงดีทำงานในตำแหน่งภารโรงมานานไม่เคยบ่น ไม่เคยนินทาใคร ใครจะใช้ให้ทำอะไรก็จะทำตามเสมอ แม้ว่าผู้ที่สั่งให้ทำจะมีอายุน้อยกว่าทำงานทีหลัง แต่ลุงดีก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะถือว่าตนเองร่ำเรียนมาน้อย ไม่ได้มีความรู้อะไรมาก การที่มีงานทำดีกว่าไม่มีอะไรเลย เริ่มต้นจากเงินเดือนๆละไม่กี่พันบาทจนปัจจุบันได้เงินเดือนเกินหมื่นบาทแล้ว แต่เงินก็ยังไม่ค่อยจะพอใช้
ทราบมาภายหลังว่าลุงดีชอบเล่นหวย บางครั้งหมดไปเป็นหมื่น นานๆครั้งถึงจะเห็นลุงดีเลี้ยงสักครั้ง ก็คาดเดาเอาไว้ก่อนว่าคงถูกหวย จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งมีเพื่อนร่วมงานแกล้งลุงดีว่าถูกหวย หลายคนรู้อยู่แล้วว่างวดนั้นลุงดีลงทุนซื้อหวยสามตัว หลายคนจำได้ว่าลุงดีซื้อ...... (จุดคือหวยที่ลุงดีซื้อ) ด้วยความคิดจะหลอกเล่นสนุกๆ พอวันหวยออกเพื่อนร่วมงานจึงแกล้งจับกลุ่มสนทนากันว่าหวยออกตัวที่ลุงดีซื้อพอดี แกล้งพูดเสียงดังให้ลุงดีได้ยิน
ลุงดีทำงานสักพักก็ชวนเพื่อนร่วมงานไปที่ร้านอาหารสั่งอาหารมาหลายอย่างเหมือนคนที่มีเงินหนามือ จ่ายไปหลายพันบาท ลุงดีไม่ได้บอกใครว่าได้เงินมาจากไหน หลายคนสงสารแต่ก็รับประทานอาหารที่ลุงดีเลี้ยงในเย็นวันนั้น อิ่มท้องกันทุกคน
พอรุ่งเช้าจึงเห็นลุงดีเดินหน้าบึ้งเข้าไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่กำลังสนทนานินทาลุงดีอยู่พอดี วงสนทนาแตกกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง ลุงดีบ่นตามหลังว่า “พวกเอ็งหลอกข้าทำไม ข้าหมดเงินเลี้ยงพวกเองไปตั้งหลายพัน” ภายหลังได้ทราบข่าวว่าทุกคนรวบรวมเงินค่าอาหารในวันนั้นมาคืนลุงดี ทุกอย่างก็เป็นอันจบกัน ลุงดีไม่ได้ติดใจอะไร ยังคงทำงานตามปรกติ
วันก่อนเห็นลุงดีบอกลาคนนั้นคนนี้ เหมือนกำลังปลงตกว่าถึงอย่างไรก็ต้องหยุดทำงานในหน้าที่ที่เคยทำติดต่อกันมานาน ลุงดีเดินผ่านมาพอดีจึงถามว่า “ลุงดีเกษียณแล้วจะไปทำมาหากินอะไร” ลุงดีบอกว่า “ผมจะปลูกต้นไม้ ดอกไม้ขายครับ หรือไม่ก็กลับไปทำไร่ทำนาที่บ้านนอก คงเป็นอาชีพที่เหมาะกับผม ผมชอบต้นไม้มันร่มรื่นเย็นสบายดี อีกอย่างคนทุกคนต้องกินข้าวยังไงก็ขายได้ ผมกำลังเรียนการศึกษาผู้ใหญ่อยู่นะครับหลวงพ่อกำลังจะจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว ตอนนี้ผมอ่านหนังสือพิมพ์ได้บ้างแล้วครับ”
เห็นรอยยิ้มและเงาหลังที่เริ่มจะงองุ้มไปข้างหน้าของลุงดีที่เดินฝ่าเปลวแดดไปยังอาคารอีกหลังหนึ่ง มองพยับแดดเต้นเป็นแสงระยิบระยับก่อนจะจางหายไป ไยไม่ใช่เป็นเฉกเช่นกับความจำเล่าที่มักจะปรากฏชั่วครู่แล้วก็จางหายไป สังขารเริ่มแก่ตัวไม่อยู่ในอำนาจแล้ว ความชราเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น สังขารก็เหมือนต้นกล้วยที่ไม่นานก็ต้องตายเหมือนกัน ในเผณปีณฑสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค (17/247/151) พระพุทธเจ้าทรงแสดงขันธ์ห้าไว้โดยนัยต่างกันความว่า “พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้วว่ารูปอุปมาด้วยกลุ่มฟองน้ำ เวทนาอุปมาด้วยฟองน้ำ สัญญาอุปมาด้วยพยับแดด สังขารอุปมาด้วยต้นกล้วย และวิญญาณอุปมาด้วยกล ภิกษุย่อมเพ่งพิจารณาเห็นเบญจขันธ์นั้นโดยแยบคายด้วยประการใดๆ เบญจขันธ์นั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่าด้วยประการนั้นๆ”
ลุงดีกำลังจะเกษียณเห็นเพียงเงาหลังที่โดดเดี่ยวของชายในวัยชรา หันกลับมามองตัวเองบ้าง แม้ตัวเราเองก็คงไม่ต่างจากลุงดีสักเท่าไหร่ คงอีกไม่นานเหมือนกันที่จะทำงานไม่ได้หรือเขาไม่ให้ทำ ครั้นจะกลับไปทำนาอย่างลุงดีก็คงทำไม่ได้ เพราะไม่มีที่นาเหลืออยู่แล้ว ได้ข่าวว่าบริษัทบ้านจัดสรรกำลังเร่งระดมทุนเพื่อซื้อที่นามาทำบ้านจัดสรร อีกอย่างสังขารกำลังโรยราเหมือนต้นกล้วยที่กำลังจะล้ม ความทรงจำมาแล้วก็ไปมักจะเลือนหายเหมือนพยับแดดที่ปรากฏเพียงชั่วครู่ยาม สิ่งที่คิดไว้ในใจตอนนี้คือหาที่สงบสักแห่งเพื่อพักผ่อนในวัยชราเขียนนิยายสักเรื่องก่อนตาย พอจะทำเมื่อลุงดีเกษียณอายุราชแล้ว เพื่อนร่วมงานคงไม่ได้ล้อเล่นกับลุงดีอีกแล้ว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/09/55