วันเสาร์ไปร่วมงานศพของอดีตเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่พึ่งเสียชีวิตกะทันหันในวัยที่ถือว่ายังหนุ่ม อายุเพียง 34 ปี เป็นชายหนุ่มที่ขยันทำงานคนหนึ่ง อดีตเคยร่วมงานที่ศูนย์เทคโนโยลีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ภายหลังได้ย้ายไปช่วยงานที่วิทยาเขตร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด วันที่เสียชีวิตเขาเดินทางมาร่วมงานประชุมสัมมนาที่ศูนย์เทคโนโลยีร่วมกับฝ่ายทะเบียนจัดขึ้นที่ศาลายา นครปฐม เขาอยู่ร่วมงานทั้งวัน แต่พอกลับที่พักก็นอนหลับไม่ตื่นอีกเลย แพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายฉับพลัน งานศพจัดขึ้นที่อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด อันเป็นบ้านเกิดของผู้เสียชีวิต
ชื่อของเขาคือ นายเมธา ศรีผาวงศ์ นักวิชาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ทำงานประจำที่วิทยาเขตร้อยเอ็ด เคยทำงานอยู่ห้องเดียวกันเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศยังตั้งอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นคนที่มีอัธยาไมตรีดีเยี่ยม หากใครมีปัญหาหรือสงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์ เมธาจะให้คำแนะนำและช่วยเหลือเต็มความสามารถ เขามีหลักปรัชญาในการทำงานง่ายๆว่า “ไม่รังแกน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายสถาบัน” ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งก็มาจากเขาคนนี้แหละ
เดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เช้าไปทันงานฌาปนกิจในภาคบ่าย ตอนที่เดินเข้าศาลการเปรียญวัดโพธิ์ศรีทอง บ้านนาโพธิ์ ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ยินเสียงอาราธนาเทศน์พอดี จึงนั่งฟังเทศน์ วันนั้นองค์แสดงธรรมคือพระเดชพระคุณพระธรรมฐิติญาณ เจ้าคณะภาค 10 (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดบึงพลาญชัย อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ฟังพระเดชพระคุณแสดงธรรมได้อรรถรสดีแท้ ตามปรกติเคยแต่เทศน์ให้คนอื่นฟัง แต่วันนั้นต้องนั่งฟังหลวงพ่อแสดงธรรม เป็นโอกาสอันดี จึงขออนุญาตสรุปคำเทศนาของพระเดชพระคุณฯ มาให้อ่านกัน
หลวงพ่อเทศน์หลายเรื่องแต่ที่จำได้คือตอนที่หลวงพ่อบอกว่า “คนทุกคนเกิดมาต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว แต่จะช้าหรือเร็วกำหนดไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะตายแบบไหน ซึ่งมีหลายแบบคือ “ตายแบบช้าง ตายแบบมดดำมดแดง” จากนั้นพระเดชพระคุณฯ ก็ขยายความว่า “คำว่าตายแบบช้างหมายถึง ช้างแม้จะตายแต่ก็มีอวัยวะที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นนั่นคืองาช้าง สามารถขายได้ ทำเป็นเครื่องประดับได้ ช้างตายทั้งตัวยังเหลือเขี้ยวงาฝากไว้
มนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันเกิดมาทำคุณประโยชน์ให้แก่ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ แม้ตัวจะตายจากโลกนี้ไปแต่คุณงามความดียังเหลืออยู่ คนรุ่นหลังยังได้ระลึกถึงเช่นคนที่สร้างสาธรณประโยชน์ไว้ คนจะจดได้ไม่ลืมเลือน ตัวอย่างเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้จะปรินิพพานไปนานกว่าสองพันห้าร้อยปีแล้วก็ตาม แต่หลักธรรมคำสอนที่เรียกว่า “พระพุทธศาสนา” ยังคงเหลืออยู่ สาวกรุ่นหลังแม้จะอยู่ต่างถิ่นต่างประเทศห่างไกลกันมากก็ยังนำมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเองเข้าสู่ความเป็นผู้สงบสันติได้
คำว่า “ตายอย่างมดดำมดแดง” หมายถึง สิ่งที่ไม่มีประโยชน์หรือหากจะมีบ้างก็มีเพียงเล็กน้อย สิ้นชีวิตไปแล้วไม่นานคนก็ลืม มีใครบ้างที่ทำบุญอุทิศให้แก่มดดำมดแดง หากจะมีคนนั้นก็อาจจะถูกคนสงสัยว่าเดินใกล้ความบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว คนก็เหมือนกันบางคนแม้ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว เพราะมัวแต่ประมาทในการกระทำความชั่ว ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น คนเขาสาปแช่งอยากให้ตายแทบทุกวัน เสียชีวิตไปไม่นานคนก็พากันลืม
เคยเห็นมดแดงแฝงต้นมะม่วงไหม มดแดงก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากผลมะม่วง พอมะม่วงสุกได้ที่ก็หล่นลงยังพื้นดิน กลายเป็นอาหารของคนอื่นหรือเป็นประโยชน์กับสัตว์อื่น ส่วนมดแดงที่เฝ้าพวงมะม่วงไม่ได้ลิ้มรสอะไรจากผลมะม่วงเลย มีหลายคนที่เป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแต่ไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรเลย เพราะมัวแต่ประมาทมัวเมา จึงไม่ต่างอะไรกับมดแดงเฝ้าผลมะม่วง
มนุษย์เรานั้นหากมีชีวิตอยู่ในโลกแล้วสร้างสรรค์คุณประโยชน์ต่อครอบครัว พ่อแม่ก็สุขใจที่มีลูกชายดี หากอยู่ในสังคมใดทำตนให้เป็นประโยชน์ คนในสังคมก็รัก มนุษย์เกิดมาแล้วก็ต้องตายกันทุกคน จะเลือกตายแบบช้างหรือตายอย่างมดแดงมดดำนั้น มนุษย์แต่ละคนสามารถเลือกได้ก่อนที่จะหมดลมหายใจ เรียกว่าเตรียมตัวก่อนตาย
ความจริงพระเดชพระคุณฯพระธรรมฐิติญาณแสดงธรรมมีเนื้อหามากกว่านี้ แต่ที่จดจำได้คือเนื้อหาส่วนนี้ ซึ่งอาจจะไม่ตรงตามที่พระเดชพระคุณฯแสดงทุกคำพูด แม้จะพยายามบันทึกเสียงไว้แต่ก็ฟังไม่ชัดนำมาใช้งานอะไรไม่ได้ ไม่ได้จดบันทึกไว้ในกระดาษแผ่นใดเลย แต่จดบันทึกด้วยใจฟังแล้วก็จดจำเอาไว้ นำมาอธิบายขยายความเอาเอง ผิดพลาดประการใดขอน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่การตายอย่างช้างและการตายอย่างมดดำมดแดงฟังแล้วมองเห็นภาพ เพื่อนร่วมงานมาเสียชีวิตในเวลาก่อนวัยอันควร เป็นอุทาหรณ์สอนใจอย่างหนึ่งว่า “อย่าได้ประมาทในการใช้ชีวิต เพราะตัวเราเองก็พร้อมที่จะหมดลมหายใจได้ทุกเวลา”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
27/08/55