ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

          กลางดึกสงัดเวลาค่อนรุ่งผ่านเวลาตีสองไปแล้ว ได้ยินเสียงร้องโหยหวนแทรกมากับบรรยากาศอันสงัดในกลางดึก ต้องสะดุ้งตื่นนั่งพิจารณาว่าเสียงนั้นมาจากที่ไหน ได้ยินทีแรกนึกว่าถูกผีหลอก หรือเสียงเปรตมาร้องขอส่วนบุญ เสียงเหมือนคนที่เจ็บปวดแสนสาหัสกำลังขอความช่วยเหลือ คงเป็นเพราะความเงียบสงัดของรัตติกาลด้วย  เสียงร้องแทรกมากับเสียงฝนพรำที่น่าจะนอนหลับสนิทเพราะอากาศเย็นสบาย แต่เพราะเสียงร้องครวญครางไม่ยอมหยุดจึงทำให้นอนไม่หลับ แต่พอฟังไปสักพักจึงรับรู้ได้ว่าเสียงนั้นมาจากข้างล่างไต้ถุนกุฏินี่เอง ตอนนั้นแม้จะรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจในความกล้า แต่การนอนไม่หลับในราตรีนั้นทรมานมากกว่า จึงต้องตัดสินใจลงไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาเป็นไงเป็นกัน


          แต่ก่อนวัดสงบเมื่อเวลากลางคืนไปแล้วจะไม่ค่อยมีใครมารบกวน พระสงฆ์สามเณรเลิกเรียนหนังสือประมาณสามทุ่ม จากนั้นก็จะเข้ากุฏิใครกุฏิมัน สักพักก็ต้องพักผ่อนหลับนอนตามธรรมชาติ ไม่เคยได้ยินข่าวมีผี หรือเปรตมาหลอกที่วัดมาก่อน แต่เสียงร้องในคืนนั้นทำให้คิดไปต่างๆนานา พักหลังๆเริ่มมีสุนัข แมวมากขึ้น อาจส่งเสียงเห่าหอนเวลาที่พบกับคนแปลกหน้า สุนัขเป็นยามเฝ้าวัดที่ดีผิดสีผิดกลิ่นจะเห่าทันที  ดูเหมือนว่าปริมาณสุนัขจรจัดจะถูกนำมาปล่อยที่วัดมากขึ้นทุกวัน จากจำนวนที่เคยมีสักสิบตัว แต่พอย้อนกลับมาดูอีกทีน่าจะมีจำนวนมากถึงสามสิบตัว

 

          พระที่เลี้ยงสุนัขในวัดมีเพียงไม่กี่รูป มีสุนัขในสังกัดประมาณสี่ห้าตัว ตั้งชื่อให้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการเช่น”สิงโต ขิง เจนนี่ ตาหวาน” เป็นต้น สุนัขที่มีชื่อเหล่านี้เป็นสุนัขมีเผ่าพันธุ์ เพราะรูปร่างแปลกกว่าสุนัขพันธุ์อื่นๆ เจ้าสิงโตอ้วนเตี้ยน่ารักพันธุ์ปั๊กหรือบลูด็อกไม่แน่ใจ เจ้าขิงพันธุ์ชิวาวาตัวเล็กแต่ใจนักเลง เจนนี่และตาหวานน่าจะเป็นพันธุ์ปั๊กรูปร่างดีน่ารัก พระสงฆ์รูปนั้นจะเดินเหินไปไหนมาไหนภายในวัดสุนัขเหล่านี้จะวิ่งตามเป็นขบวน คอยปกป้องหลวงพ่อ หากมีใครเดินเข้าหาด้วยท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจ สุนัขเหล่านี้จะคอยปกป้องระแวดระวังภัยอย่างเอาจริง จึงเรียกสุนัขเหล่านี้ว่า “สุนัขมีเจ้าของ” อย่าได้เข้าไปยุ่งเป็นอันขาด
          อีกกลุ่มหนึ่งแม้จะเคยเป็นสุนัขจรจัดถูกคนนำมาปล่อยวัดแต่พวกเขาทำตัวดีน่ารัก จึงอาศัยร่มไม้ชายคาของหลวงพี่นอนเฝ้ากุฏิเสมือนหนึ่งเป็นสุนัขมีสังกัด แม้ว่าหลวงพี่ทั้งหลายจะไม่ได้ตั้งใจเลี้ยง แต่ทว่าอาหารเหลือจากบิณฑบาตก็เป็นอาหารอันโอชะของสุนัขที่เคยจรจัดเหล่านั้น พวกมันจึงอยู่เป็นการถาวร อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเป็นสุนัขของหลวงพี่ แม้จะถูกไล่ถูกตีอย่างไร มันก็ไม่ยอมไปไหนอีก มันถือกุฏิหลวงพี่เป็นที่พึ่งสุดท้าย
          กลุ่มสุดท้ายเป็นสุนัขพิการเช่นตาบอด ขาขาด ขาพิการ เป็นขี้เรื้อนบ้าง ไม่มีใครอยากให้เข้าใกล้ สุนัขเหล่านี้เคยมีเจ้าของ แต่พอสุขภาพเปลี่ยนไปก็ถูกเจ้าของนำมาปล่อยวัด จะต้องหากินเอาเอง แม้จะมีคนใจดีนำอาหารมาเลี้ยงเกือบทุกวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ  พวกมันเป็นสุนัขไม่มีชื่อ ไร้นาม ไร้หลักแหล่ง จากสุนัขจรจัดก็กลายมาเป็นหมาวัดอย่างแท้จริง


          หมาวัดกลุ่มนี้พยายามตั้งชื่อให้มันเท่าที่พอจะจำได้เช่น “ด่าง ดำ ขาว เป๋ ตูบ” เป็นต้น เรียกตามลักษณะท่าทางและสีของมัน บางตัวพอได้ยินเรียกชื่อก็จะวิ่งมาหาเคลียคลอไม่ยอมห่าง ยิ่งเวลาที่มีของฝากเป็นอาหารแทบทุกตัวจะวิ่งเข้ามาหาแม้จะพยายามแบ่งอาหารให้ทุกตัวแล้ว พวกมันก็ยังแย่งกัน บางครั้งเกิดเป็นสังเวียนตะลุมบอนกันที่บริเวณลานวัดนั่นเอง  สุนัขยังไงก็ยังเป็นสุนัขแสดงอารมณ์ออกมาอย่างที่รู้สึก คิดอย่างไรแสดงออกอย่างนั้น เหมือนที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่นายเปสสสหัตถาโรหบุตรไว้ในกันทรกสูตร มัชฌิมปัณณาสก์ (13/4/3)    ความว่า “ดูกรเปสสะ ก็สิ่งที่รกชัฏคือมนุษย์  สิ่งที่ตื้นคือสัตว์ “  สัตว์ดิรัจฉานทำอะไรตรงไปตรงมา รู้สึกอย่างไรทำอย่างนั้น ส่วนพวกมนุษย์คิดอย่างหนึ่ง พูดอีกอย่างหนึ่ง หรือปากอย่างใจอย่าง เจ้าด่างมันรู้สึกเจ็บปวดจึงร้องเสียงดังลั่น
          วันหนึ่งมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว เป็นสุนัขไทยไม่ระบุสายพันธุ์ อายุมากแล้วเป็นสุนัขแก่ตาฟ้าฟาง ตาอีกข้างบอด พร้อมทั้งมีอาการบาดเจ็บที่ขาข้างขวา มันมีสำดำที่มีสีขาวแซม จึงตั้งชื่อมันว่า “เจ้าด่าง”  เจ้าของเก่านำใส่รถกระบะมาและปล่อยทิ้งไว้ที่ลานวัด เจ้าด่างไม่รู้จะตามเจ้าของกลับไปยังไงจึงตัดสินใจอาศัยวัดอยู่เหมือนสุนัขตัวอื่นๆที่เจ้าของนำมาทิ้ง เจ้าด่างน่าจะเป็นสุนัขที่แก่ที่สุดในบริเวณนี้ เจ้าด่างเดินเหินไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก เพราะต้องยกขาข้างขวาเวลาเดิน ส่วนเวลายืนอาจจะพอประคองตัวไว้ได้ มาได้ไม่กี่วันก็ถูกเจ้าถิ่นต้อนรับน้องใหม่โดยการรุมเล่นงานเจ้าด่างจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด หัวหน้าทีมคือเจ้าตูบที่พาพรรคพวกเข้าถล่มเจ้าด่างเพราะแปลกถิ่นหรือเพราะธรรมชาติของพวกเขาก็ไม่ทราบ สุนัขมักหวงถิ่น

 

          เจ้าด่างสู้ได้สักพักก็ยอมแพ้ นอนนิ่งไม่ติงไหวเหมือนกำลังจะสิ้นใจตาย พอสุนัขอื่นๆเห็นดังนั้นก็พากันหนีไป เหลือไว้แต่เจ้าด่างที่มีแผลเต็มตัว กลายเป็นสุนัขป่วยที่นอนรอความตาย แต่เมื่อรักษาใส่ยาไม่กี่วัน ชีวิตที่ดูเหมือนกำลังจะมอดดับก็กลับมามองตาดูโลกได้อีกครั้ง
          เสียงร้องโหยหวนครวญครางในกลางดึกวันนั้นยังแว่วมาเป็นระยะๆ บางครั้งยาว บางครั้งสั้น บางทอดยาวติดต่อกันระยะ เสียงเหมือนคนร้อง  ฟังไปสักพักเหมือนเสียงภูตผีคร่ำครวญในราตรี หยุดไปสักพักจากนั้นก็เริ่มใหม่ เสียงดังอยู่อย่างนี้เนิ่นนาน พระเณรหลับกันไม่ลง ได้ยินครั้งแรกนึกว่าเสียงภูตผีปีศาจหรือเสียงเปรตร้องขอส่วนบุญ
          นาฬิกาบอกเวลาว่าผ่านตีสองสิบนาที จึงตัดสินใจเดินลงไปดูให้เห็นกับตา อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด หากปล่อยไว้อย่างนี้ก็ต้องสงสัยและนอนไม่หลับอีกต่อไป ค่ำคืนยังมีเวลาอีกยาวนานหลายชั่วโมง ไฟฉายในมือส่องไปที่เสียงร้อง เจ้าตัวสะดุ้งตกใจตื่น ทีแท้เป็นเสียงเจ้าด่างสุนัขที่ได้รีบบาดเจ็บที่ขาข้างขวานี่เอง ตอนนั้นหายใจโล่งเราคิดมากไปเอง แต่สียงร้องคล้ายเสียงคนที่ร้องเวลาใกล้ตายจริงๆ

 

          เจ้าด่างนอนนิ่งแต่สักพักก็เริ่มส่งเสียงครางอีกครั้ง เนื่องเพราะไม่ใช่สัตว์แพทย์จึงไม่รู้ว่าเจ้าด่างเขาป่วยด้วยโรคอะไร มองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครจึงเริ่มคุยกับสุนัขตัวนั้นว่า “ทนเอาหน่อยซิ รู้ไหมว่าเสียงร้องของเธอนะมันรบกวนความสงบสุขของคนอื่นเขา เจ็บปวดอย่างไรก็ต้องทนเอา ไหนดูซิเจ็บตรงไหนบอกมาจะได้หายามาใส่ให้”
          เจ้าด่างเหมือนกับจะรับรู้พลิกตัวนิดหนึ่งยกขาข้างซ้ายเขี่ยที่ขาข้างขวาที่พิการมีรอยแผลที่ยังไม่หายดี ขาที่หักบวมด้วยรอยซ้ำ จึงเดินกลับไปหายาหม่องจากกล่องยาตำราหลวงมาหนึ่งตลับ จากนั้นก็ค่อยๆนวดไปที่ขาของเจ้าด่างที่สั่นเร่าๆ เจ้าด่างลุกขึ้นร้องคราง  เดินไปได้สักพักก็หมดแรงนอนเลียแผลที่เต็มไปด้วยยาหม่อง คงพอทุเลาหายปวดได้บ้าง
          เดินกลับกุฏิปิดห้องนั่งรอว่าจะได้ยินเสียงเจ้าด่างร้องอีกหรือไม่ เสียงร้องค่อยๆเบาลงและเงียบหายไปในที่สุด นึกขำตัวเองที่คุยกับหมารู้เรื่อง หรือว่าเราคิดไปเอง หมาไม่ได้โต้ตอบสักคำ เพียงแต่แสดงอาการอันบ่งบอกว่าเขารับทราบเมื่อมีใครมาเอาใจใส่ หมายังรับรู้ได้ เก็บเรื่องนี้ไว้หลายวัน เพราะหากเล่าให้ใครฟัง อาจจะถูกกล่าวหาว่าบ้า บ้าก็บ้านะไม่เป็นไรทำด้วยความสงสาร สุนัขก็มีจิตใจเหมือนมนุษย์ เพียงแต่มันพูดไม่ได้ เมื่อเจ็บปวดจึงส่งเสียงร้องครวญครางตามธรรมชาติ จากนั้นจึงอาบน้ำกลางดึกล้มตัวลงนอนหลับสนิท

 

          ตอนเช้าเดินไปดูอาการของเจ้าด่างว่าเป็นอย่างไรบ้าง เห็นแกกระดิกหางเดินไปสักพักก็ล้มตัวลงนอนเอาขาข้างขวาข้างที่หักถูไถไปตามพื้นปูน เขาก็มีวิธีรักษาตัวเหมือนกัน แม้แผลจะยังไม่หายแต่ก็มีแนวโน้มว่าคงอีกไม่นาน ต้องเดินยิ้มคนเดียวต้องแอบยิ้มเดี๋ยวคนหาว่าบ้าพระอะไรเดินยิ้มคนเดียว ที่ยิ้มนะเพราะเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังจะกลายเป็นหมอรักษาสุนัขด้วยความจำเป็น สุนัขแต่ละตัวคงมีที่มาไม่เหมือนกัน พวกเขาคงเคยมีเจ้าของและเคยถูกรัก แต่พอกาลเวลาผ่านไปก็ถูกเจ้าของที่เคยรักทอดทิ้งกลายเป็นภาระให้ทางวัดดูแล หมาวัดเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
  

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
15/08/55

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก