ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

          ใกล้วันแม่แล้ว ยังไม่มีโอกาสกลับไปเยี่ยมแม่เลยหลายเดือนมาแล้ว เพียงแต่ยกโทรศัพท์ถามข่าวบ้าง เมื่อทราบว่าแม่ยังอยู่ดีมีความสุข แม้จะเจ็บป่วยบ้างตามประสาคนแก่ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล  ถึงแม้จะไม่ได้เลี้ยงดูแม่ทางกายเพราะสภาวะแห่งการดำรงอยู่แตกต่างกัน ลูกเป็นพระบวชมานานหลายปี จนคนเรียกหลวงตาบ้าง หลวงพ่อบ้างแล้วแต่ถนัด มีน้อยคนมากที่ยังเรียกคงหลวงพี่ การเลี้ยงดูมารดานั้นโบราณว่าทำได้สองทางคือเลี้ยงดูทางกาย และเลี้ยงดูทางใจ เลี้ยงทางกายให้อาหาร เลี้ยงทางใจให้ความสุข เมื่อแม่รับทราบว่าลูกชายเป็นคนดีในสังคม หรือหากลูกชายได้บวชเรียนมีความสงบปฏิบัติธรรมตามสมควร จิตใจของแม่ก็มีความสุขแล้ว
 

          หลวงตาไซเบอร์ฯ รับนิมนต์ไปฉันภัตตาหารเพลที่กุฏิเจ้าอาวาส ฉันภัตตาหารเพลเสร็จเที่ยงพอดีก่อนจะขึ้นกุฏิเดินผ่านศาลาท่าน้ำหน้าวัดเพื่อที่จะดูว่าวันนี้น้ำในคลองเป็นอย่างไรใสสะอาดหรือสกปรกเหมือนเดิม ศาลาท่าน้ำหน้าวัดมีผู้คนนั่งบ้างนอนเล่นบ้าง ศาลาเป็นทั้งที่หลบแดด บังฝนและสถานที่สนทนาธรรมบ้างในบางครั้ง  ขณะที่กำลังชมความโสโครกของกระแสน้ำในลำคลอง ก็พลันมีหญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งคำนวณอายุด้วยสายตาไม่น่าจะเกินสามสิบปี เดินเข้ามาหาและกล่าวคำทักทายว่า "สวัสดีหลวงพ่อ หนูมีเรื่องอยากคุยด้วย” เธออุ้มลูกที่อายุไม่น่าจะถึงหนึ่งขวบ เด็กคนนั้นกำลังหลับบนอ้อมอกของมารดา จึงบอกว่า “มีเรื่องอะไรขอเชิญว่าไปได้เลย”
          แม่ลูกอ่อนคนนั้นจึงบอกว่า “บอกกับกับหลวงพ่อตามตรง วันนี้หนูยังไม่ได้กินข้าวเลย เมตตาขอข้าวจากหลวงพ่อด้วย” เวลาเมที่ยงแล้วอาหารก็ไม่เหลือแล้ว จึงบอกเธอตามตรง ลูกหนูยังไม่ได้กินนมเหมือนกัน แต่หนูไม่กล้าขอเงินหลวงพ่อ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะที่มีคนมาขอเงินหลวงพ่อไปซื้อนมให้ลูกกิน” เธอบอกอย่างนั้น

 

          ถึงจะไม่เคยมีลูกแต่สำหรับความหิวแล้วเข้าใจดี เวลาที่มีความหิวมักจะหลงลืมตน พึ่งสวดมนต์ฉันเพลมาใหม่ๆซองปัจจัยที่ญาติโยมถวายมาก็ยังไม่ได้เปิดดู จึงยื่นซองนั้นให้เธอไปเปิดดูเอาเอง”  บอกเธอไปอย่างนั้น เมื่อเธอเห็นเงินในซองเธอบอกว่า “มันมากไปตั้งห้าร้อยบาท” หนูเอาร้อยเดียวก็พอ
          หลวงตาจึงบอกว่า “เอาเถอะเก็บไว้เผื่อวันอื่นๆด้วย” ความจริงหลวงตาไซเบอร์ฯก็ไม่ใช่คนใจกว้างเป็นมหาสมุทรเหมือนพระเวสสันดรแต่ประการใด แต่เมื่อมีคนมาขอก็มักจะให้อยู่เป็นประจำ ให้เฉพาะคนที่ขอ แต่ไม่ค่อยจะให้ใครยืม มีคนถามว่า “คนขอกับคนยืมต่างกันตรงไหน คนยืมน่าจะดีกว่าเพราะยังมีหวังได้คืน” เคยตอบไปในทำนองว่า “หากมีคนมายืมเงินเราจะกังวลใจคิดถึงแต่เมื่อไหร่เขาจะนำเงินมาส่งคืน คนที่ให้ยืมมักจะจำไม่ค่อยลืมว่าใครยืมเงินไปบ้าง แต่คนที่ยืมเงินคนอื่นมักจะจำไม่ค่อยได้ว่ายืมเงินใครมาบ้าง ดังนั้นให้ไปเลยหมดกังวล อีกอย่างคนขอมักจะขอไม่มาก แต่คนยืมมักจะยืมจำนวนมากกว่า” 
          แม้จะอยู่ในเวลาเที่ยงวันที่ตามปรกติแดดจะร้อน แต่ทว่าวันนี้มีฝนตกมาตั้งแต่เช้า ฟ้ายังครึ้มฝนอากาศจึงเย็นสลาย เห็นว่าพอมีเวลาเพราะวันนี้ตรงกับวันธรรมสวนะ ไม่ได้ไปไหนอยู่วัดทั้งวัน บรรยากาศแบบนี้สบายๆแบบนี้ พึ่งฉันภัตตาหารอิ่มมาใหม่ๆ หากกลับเข้าห้องมีหวังเผลอหลับกลางวันโดยไม่รู้ตัว ท้องตึงหนังตามักจะหย่อนนั่นเป็นธรรมดาอย่างหนึ่ง วิธีแก้ง่วงคืออย่าเข้าห้องและอย่าอยู่คนเดียว เดินเล่นหรือหาเพื่อนคุยสักพักก็หายง่วงแล้ว

 

          เมื่อเห็นว่าพอมีเวลาจึงชวนแม่ลูกอ่อนคนนั้นคุยเล่นๆ จึงถามตามธรรมเนียมว่า “ไปยังไงมายังไง” เธอบอกว่า “พึ่งออกจากโรงพักถูกตำรวจจับในข้อหาขโมยนมสดที่ร้านสะดวกซื้อ ตำรวจจับขังอยู่สามวันจึงปล่อยตัวออกมา เงินก็ไม่มี อันที่จริงหนูเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะขโมย แต่ตอนนั้นไม่มีเงินติดตัวเลย ลูกก็หิวร้องอยากกินนม จึงต้องหานมให้ลูกกิน เมื่อถามว่า “นมแม่ไม่มีหรือ เห็นเขาบอกว่าเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ดีที่สุด”  เธอบอกว่า “น้ำนมมันแห้งนะหลวงพ่อ ถึงจะมีก็ไม่ค่อยมีน้ำนม ลูกกินไม่อิ่ม”
          จากนั้นก็รอว่าเธอจะเล่าอะไรให้ฟังต่อไป เพราะถือคติประจำใจไว้อย่างหนึ่งตั้งแต่ปีที่แล้วว่า “จะไม่ถือ(ว่าตนวิเศษกว่าคนอื่น) ไม่เถียง(โดยไม่มีเหตุผล) ไม่ถาม(เรื่องส่วนตัวของคนอื่น)”  หากเขาอยากเล่าจะบอกกล่าวออกมาเอง วิธีที่ดีที่สุดคือการรอคอย รอให้พูดออกมาเอง และวิธีนี้ยังคงใช้ได้ผล แม่ลูกอ่อนคนนั้นบอกว่า “บ้านเดินหนูอยู่ที่.....เธอบอกชื่อจังหวัดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตอนนั้นหนูเรียนจบชั้นมัธยมต้นแล้ว กำลังจะเข้าเรียนในระดับมัธยมปลาย ช่วงปิดเทอมที่กำลังหาโรงเรียนใหม่อยู่นั้น ตอนนั้นจึงเดินทางมาหางานทำที่กรุงเทพฯ กับเพื่อนๆอีกหลายคน ตั้งใจว่าพอโรงเรียนเปิดเทอมจะกลับไปเรียนต่อ ตอนนั้นเองที่ได้รู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำงานด้วยกัน หนูเลยมีสามีแทนที่จะได้เรียนต่อ ต่อมาอีกไม่นานก็มีลูกด้วยกันหนึ่งคน การเรียนเลยสิ้นสุดที่ชั้นมัธยมต้น”
          เธอยังเล่าต่อไปว่า “สามีคนแรกของหนูถูกจับในข้อหาขายยาบ้า ทิ้งลูกคนแรกให้หนูเลี้ยงคนเดียว ตอนนั้นไม่กล้ากลับไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดเพราะความอาย จึงต้องทนเลี้ยงดูไปได้สักพัก ในที่สุดก็ต้องข่มความอายนำลูกไปให้ตายายเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัดตอนนี้เข้าโรงเรียนแล้ว”


          เธอหยุดเหมือนกำลังย้อนนึกถึงอดีต “ต่อมาไม่นานหนูก็มีสามีคนที่สอง มีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคนคือคนนี้แหละ ตอนนี้อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ ทุกอย่างน่าจะไปด้วยดี แต่สามีคนที่สองก็มาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมานี่เอง หนูเลยต้องเลี้ยงดูลูกคนนี้คนเดียว พอเงินหมดก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก  ยังไงเข้าก็เป็นลูก ถึงจะยากจนข้นแค้นอย่างไรก็ต้องหาทางเลี้ยงดูเขาให้ได้ “ เธอว่าอย่างนั้น
          เสียงเด็กร้องให้แทรกเข้ามาพลางยกมือไขว่คว้าหาอะไรสักอย่าง “เขาคงหิวแล้ว เห็นทีหนูต้องกราบลาหลวงพ่อไปแล้ว จะพยายามนำเงินที่หลวงพ่อให้ในวันนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” จากนั้นเธอก็ยกมือไหว้ทั้งๆที่ยังอุ้มลูกน้อยอยู่แนบอก เธออุ้มลูกเดินลับหายไปทางประตูข้างวัดอัน คงจะมุ่งหน้าสู่ร้านค้าและถนนใหญ่ที่นั่นมีร้านรวงต่างๆมากมายหลายแห่ง
         หลวงตาไซเบอร์ฯจึงเดินกลับกุฏิ พร้อมทั้งตั้งจิตเมตตาขอให้หญิงแม่ลูกอ่อนคนนั้นให้เธอเลี้ยงลูกจนเติบโตเป็นคนดีมีการศึกษา ทั้งๆที่ตอนนั้นยังคิดไม่ออกว่าเธอจะทำอย่างไร แต่หัวอกแม่ที่มีความรักต่อลูกคงหาทางเลี้ยงลูกให้เจริญเติบโตจนได้  ตอนนั้นพลันคิดถึงแม่ลูกอีกกลุ่มหนึ่งที่เมืองกุสินารา อินเดีย วันนั้นกลางเดือนมีนาคมอากาศอยู่ในช่วงปลายฤดูหนาว ขณะที่กำลังเดินเข้าไปยังที่สถานที่ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีกลุ่มขอทานทั้งหลายมาเตรียมประกอบอาชีพที่ประตูทางเข้า ขอทานเหล่านั้นมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ในกลุ่มขอทานเหล่านั้นมีแม่ลูกรวมอยู่ด้วยหลายคน คนหนึ่งเธอถือกลองเล็กๆอันหนึ่ง เมื่อหาสถานที่ได้เหมาะเจาะก็ลงมือตีกลองและร้องเพลง ในขณะที่ลูกน้อยยังอยู่บนตัก เธอตีกลองร้องเพลงไปและยื่นมือขอเงินจากนักท่องเที่ยวและนักจาริกแสวงบุญ

 

          แม่ลูกอีกคนมีเครื่องดนตรีที่ไม่รู้จักชื่อคล้ายหีบเพลง เธอไล่มือไปตามแป้นเสียงบรรเลงเพลงในท่วงทำนองเร้าใจ อีกคนตีกลองประกอบ กลายเป็นวงดนตรีแม่ลูกอ่อน ณ ดินแดนอันเป็นที่ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเธอหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นวนิพกขอเงินจากผู้ใจบุญ แม้จะได้ฟังคำแนะนำจากผู้นำเที่ยวมาก่อนแล้วว่า “อย่าให้เงินแก่ขอทาน เพราะถ้าจะให้ต้องให้ให้ครบทุกคน หากให้เฉพาะคนใดคนหนึ่ง ขอทานที่เหลือจะตามตื้อไม่ยอมห่าง บางครั้งถึงกับต้องยื้อยุดฉุดกระชาก ความใจบุญบางครั้งก็ต้องเลือกให้”

           การเลือกให้พระพุทธเจ้าได้รับรองคำกล่าวของเทวดาองค์หนึ่งที่กล่าวถึงการให้ทานในสำนักพระพุทธเจ้า ดังที่แสดงไว้ในสาธุสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค(15/99/28) ความว่า "ครั้งหนึ่งเทวดาองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานในสำนักพระพุทธเจ้าว่า "ทานยังประโยชน์ให้สำเร็จ แม้เมื่อมีของน้อยการให้ทานเป็นการดี ทานที่ให้แม้ด้วยศรัทธาก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ ทานที่ให้แก่บุคคลผู้มีธรรมอันได้แล้วยิ่งเป็นการดี อนึ่งทานที่บุคคลเลือกให้ยิ่งเป็นการดี ทานที่เลือกให้พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว บุคคลทั้งหลายผู้ควรแก่ทักษิณาย่อมมีในโลกคือหมู่สัตว์นี้ ทานทั้งหลายอันบุคคลให้แล้วในบุคคลทั้งหลายนั้นย่อมมีผลมาก เหมือนพืชทั้งหลายที่บุคคลหว่านแล้วในนาดี"

         พระพุทธเจ้าได้รับรองคำกล่าวของเทวดาองค์นั้นว่าเป็นคำสุภาษิต  และได้แสดงพุทธภาษิตในลำดับต่อไป(15/101/29) ความว่า "ก็ทานอันบัณฑิตสรรเสริญแล้วโดยส่วนมากแท้ ก็แต่ธรรมบท(นิพพาน) แหละประเสริฐกว่าทาน เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลายผู้มีปัญญาในกาลก่อนก็ดี ในกาลก่อนกว่าก็ดีบรรลุซึ่งนิพพานแล้วแท้จริง"

 

          ตอนนั้นไม่มีโอกาสให้ได้เลือกมากนัก เพราะเห็นอาการของแม่ลูกคู่นั้นความเป็นผู้ใจบุญของคนไทยก็ยังมีคนให้ทานหลายสิบรูปี  หลวงตาไซเบอร์ฯ ให้ทานเพราะอยากได้ภาพถ่าย เพราะเมื่อให้ทานแล้วจะมีความคุ้นเคย เมื่อขอถ่ายภาพมักจะไม่มีใครปฏิเสธ แม้จะเป็นการให้ที่มีเงื่อนไข แต่ก็รู้สึกมีความสุข เป็นความสุขจากการให้อย่างหนึ่ง และความสุขที่ได้จากการถ่ายภาพ แม้ภาพที่ได้มาจะไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีภาพ คนจนเหล่านี้ทำมาหากินกับความใจบุญของนักท่องเที่ยว

          ตอนเย็นไปทำวัตรสวดมนต์ที่พระอุโบสถ เดินออกจากพระอุโบสถ ได้ยินหลวงพี่กำลังสนทนากันจึงเตร่เข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย หลวงพี่รูปหนึ่งบอกว่า “เมื่อเช้ามีหญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งอุ้มลูกมาขอเงิน เธอจะนำเงินไปซื้อนมให้ลูกกิน เธอบอกว่าพึ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัดกำลังหางานทำ ผมเห็นว่าน่าสงสารจึงให้ไปหนึ่งร้อยบาท” หลวงพี่อีกรูปบอกว่า “ผมก็ให้ไปหนึ่งร้อยเหมือนกัน เธอบอกว่าพึ่งออกจากคุก”
          หลวงตาไซเบอร์ฯได้ฟังก็ค่อยๆเดินผ่านไป ไม่ได้พูดคุยอะไรกับหลวงพี่กลุ่มนั้น กลัวว่าท่านจะถามว่าหลวงตาให้เงินแม่ลูกอ่อนคนนั้นไปเท่าไหร่ วันนั้นให้ทานแก่หญิงแม่ลูกอ่อนเพราะเห็นแล้วสงสารอยากให้ ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นไม่มีโอกาสได้เลือกแล้วจึงให้ทาน เป็นการให้ทานเพราะสงสารเด็กน้อยตาดำๆคนนั้นโดยแท้ แม่ลูกอ่อนคนนั้นคงเที่ยวขอเงินซื้อนมให้ลูกไปทั่ววัดแล้ว และอาจจะเที่ยวของเงินจากวัดต่างๆอีกหลายวัดแล้วเหมือนกัน โอหนอ...แม่ลูกอ่อนคนนั้นช่างมีวิธีหาเงินที่เข้าท่าดีแท้ วันหนึ่งคงได้มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำของกรรมกร หัวอกแม่ความรักของแม่ยังไงก็ต้องหาทางเลี้ยงลูกให้มีชิวิตรอดจนได้

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
 10/08/55


 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก