โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นทุกวันมีทั้งเรื่องที่ดีมีทั้งเรื่องที่เลวร้าย หากยังเป็นมนุษย์ที่จะต้องดำรงอยู่ในโลกนี้ก็จะต้องพานพบกับเรื่องราวต่างๆบางครั้งเป็นที่ชอบใจ ถูกใจ จิตใจก็พลอยเบิกบานแจ่มใสไปด้วย แต่บางครั้งเมื่อพบกับเรื่องที่ไม่น่าชอบใจ ไม่ถูกใจก็จะทำให้จิตใจหดหู่วุ่นวายสับสน คิดอะไรไม่ออก บางคนคิดสั้นทำร้ายตัวเองจนหมดโอกาสที่จะได้ทำคุณงามความดี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์เลือกเส้นทางในการดำเนินชีวิตแล้วก็ต้องอดทนสู้กับอุปสรรคที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะโลกนี้มีทั้งสุขและทุกข์คลุกเคล้ากันอยู่นี่แหละจึงทำให้โลกนี้น่าอยู่ มีสุขไว้ให้เสพ มีทุกข์ไว้ให้แก้
หลายคนมีความรู้สึกหนักอึ้งในดวงจิตคิดอะไรไม่ออก แต่บอกใครไม่ได้ สืบหาสาเหตุแห่งความอึดอัดก็หาไม่พบ เมื่อหาสาเหตุไม่ได้แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร การแก้ปัญหาในเบื้องต้นอย่างน้อยก็ต้องทราบสาเหตุแห่งปัญหานั้นก่อน จากนั้นจึงค่อยคิดหาหนทางในการแก้ปัญหาตามหลักแห่งอริยสัจจ์คือต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือปัญหา สาเหตุแห่งปัญหาคืออะไร แก้แล้วจะเป็นอย่างไร และมีวิธีในการแก้ปัญหาอย่างไร หากแม้แต่ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าสาเหตุแห่งความอึดอัดกลัดกลุ้มมาจากไหน ทำไมต้องต้องวุ่นวายใจ หากไม่รู้แล้วสาเหตุแล้วจะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร
หลวงพ่อจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งบวชมานานจนมีลูกศิษย์มากมาย บางคนรับราชการมีตำแหน่งใหญ่โต บางคนประกอบอาชีพเป็นนักธุรกิจ บางคนก็เป็นเพียงคนธรรมดา แม้คนเก็บขยะขายก็ยังมี เมื่อแก่ตัวมากขึ้นจึงมีลูกศิษย์แวะเวียนมาเยี่ยมอยู่แทบทุกวัน บางคนนำสิ่งของมาถวาย บางคนเพียงแต่มาเยี่ยม บางคนมาเล่าความทุกข์ยากลำบากให้ฟัง หลวงพ่อก็ช่วยแนะแนวทางในการแก้ปัญหาให้ตามสมควร กาลเป็นไปดังนี้มานานหลายปี
วันหนึ่งมีข้าราชการระดับกลางคนหนึ่งแวะมาเยี่ยม มากราบหลวงพ่อแล้วจึงเริ่มต้นเล่าถึงความทุกข์ยากในการประกอบอาชีพให้หลวงพ่อฟัง “มันทำงานลำบากนะครับหลวงพ่อ ผู้บังคับบัญชาไม่ค่อยเข้าใจในหัวอกข้าราชการชั้นผู้น้อย จะย้ายใครเลื่อนตำแหน่งใครไม่เคยถาม บางคนทำงานได้เพียงไม่กี่ปีก็แซงหน้ารุ่นพี่ได้ตำแหน่งใหญ่โต เคยเป็นลูกน้องเราอยู่ดีๆ ไม่นานก็กลายมาเป็นหัวหน้าคอยสั่งการเราอีกที ผมว่าระบบราชการต้องรื้อใหม่ การจะให้ตำแหน่งใครก็ต้องดูที่ความสามารถ แต่ปัจจุบันขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นคนของใคร”
หลวงพ่อได้แต่นิ่งฟัง “ผมอึดอัดนะครับ ครั้นจะลาออกก็ยังมีภาระที่จะต้องใช้เงิน บ้านก็ยังผ่อนไม่หมด รถก็ต้องผ่อน เครื่องใช้ในบ้านอีกหลายอย่างซื้อเงินผ่อนทั้งนั้น หัวหน้าก็สั่งงานสั่งเอาๆบางครั้งแทบจะไม่มีวันหยุด ชีวิตวุ่นวานสับสนน่าดู ครั้นจะมาบวชกับหลวงพ่อก็ยังหาเวลาว่างไม่ได้ ยังตัดใจสละปล่อยวางครอบครัวไม่ได้” เขายังคงบ่นให้หลวงพ่อฟังต่อไปอีกหลายเรื่อง
หลวงพ่อจึงบอกว่า “คิดเสียว่าเรายังโชคดีกว่าคนอื่นๆหลายล้านคน ที่จะต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ หาเช้ากินค่ำ อย่างเช่นชาวไร่ชาวนาเขาก็ทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ทำงานไม่มีวันหยุด ปีไหนฝนดีผลผลิตมีราคาเขาก็ยิ้มได้ ส่วนปีไหนฝนแล้งเขาก็ยังทนสู้กันต่อไป ชาวนาก็ยังดูมีความสุขดีเพียงแต่เขารู้จักหาความสุข มีความสุขเท่าที่หาได้ มีเงินใช้เท่าที่มี เป็นหนี้พอประมาณ”
บังเอิญช่วงนั้นมีชายชราสติไม่สมประกอบคนหนึ่งกำลังเดินยิ้มผ่านกุฏิไปพอดี หลวงพ่อจึงบอกว่า “ดูชายชราคนนั้นสิ แกไม่มีอะไรเลย มีอาหารพอประทังชีวิตไปวันๆเท่านั้น แกก็ยังยิ้มได้ แถมยังเดินยิ้มได้ทั้งวัน ไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อนกับใคร”
จากนั้นหลวงพ่อจึงบอกว่า “นั่งพักสักครู่ประเดี๋ยวมา จากนั้นจึงบอกให้ลูกศิษย์ให้นั่งคุกเข่าและแบมือออก หลวงพ่อวางกระดาแผ่นพับครึ่งแผ่นหนึ่งลงยังฝ่ามือ ก่อนจะบอกว่าถือไว้สักพักอย่าพึ่งอ่าน เดี๋ยวหลวงพ่อกลับมา” พูดจบหลวงพ่อก็เดินเข้าห้องเหมือนกำลังจะเข้าห้องน้ำ
ลูกศิษย์คนนั้นแม้จะสงสัยว่ากระดาษแผ่นนั้นคืออะไร แต่ด้วยความที่เคารพหลวงพ่อจึงไม่ได้เปิดอ่านเขาจึงนั่งคุกเข่าถือกระดาษแผ่นนั้นนิ่งอยู่อย่างนั้น เพราะคิดว่าอีกสักพักหลวงพ่อคงกลับมาพร้อมทั้งมีของดีอะไรบางอย่างมาให้ เนื่องจากไม่ค่อยได้นั่งคุกเข่ามานานพอเวลาผ่านไปสักพักหัวเข่าแข้งขาก็เริ่มปวด เรื่อยไปจนถึงสะเอว มือที่ถือกระดาษก็เริ่มสั่น กระดาษในมือก็เริ่มมีความรู้สึกว่ามันหนักขึ้นเรื่อยๆ เวลาผ่านไป 10 นาที 20 นาที 30 นาที เริ่มจะทนไม่ไหวจากนั่งคุกเข้าก็ค่อยๆนั่งทับเข่าและนั่งขัดสมาธิ แต่กระดาษแผ่นนั้นยังอยู่ในมือ
ผ่านไป 40 นาทีหลวงพ่อก็เดินออกมาจากห้องพลางเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี “เป็นยังบ้าง สบายขึ้นหรือยัง” ลูกศิษย์คนนั้นจึงนั่งคุกเข่าอีกครั้ง กระดาษยังอยู่ในมือ ก่อนจะตอบหลวงพ่อว่า “ผมรู้สึกว่ากระดาษมันหนักขึ้นเรื่อยๆนะครับ” อ่านดูซิในกระดาษเขียนว่าอย่างไร เขาจึงเปิดกระดาษแผ่นนั้นออกดู เป็นเพียงกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งไม่มีข้อความใดๆปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้นเลย “กระดาษเปล่านี่ครับหลวงพ่อ ผมนึกว่าจะมีคาถาดีที่จะแก้ปัญหาได้”
หลวงพ่อจึงถามว่า “กระดาษแผ่นนี้เป็นยังไง หนักบ้างไหม”
ลูกศิษย์จึงตอบว่า “หนักครับ ทำไมกระดาษธรรมดามันจึงหนักอย่างนี้”
หลวงพ่อยิ้มอย่างรมณ์ดีก่อนจะบอกว่า “เมื่อรู้ว่ามันหนักก็วางลงซะสิ ถือไว้ให้มันหนักทำไม”
ความหนักหรือไม่หนักบางครั้งไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่เราถือ แต่อยู่ที่ความรู้สึกที่เราไปคิดปรุงแต่งว่ามันหนักหรือไม่หนัก ปัญหาบางอย่างหากแก้ได้ก็แก้กันไป บางอย่างแม้จะพยายามแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ ต้องปล่อยวางลงบ้าง บางอย่างยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง เพราะปัญหาแต่ละอย่างมีความสลับซับซ้อนแตกต่างกัน เมื่อยังแก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้ปัญหานั้นค่อยๆลดระดับลงและเบาบางไปในที่สุด
เจ้าชายสิทธัตถะใช้เวลาหกปีถึงแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ได้และต่อมาก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา ปีเตอร์ ฮิกส์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษใช้เวลาถึง 48 ปี จึงพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า “จะต้องมีอนุภาคชนิดหนึ่งที่อธิบายว่าเหตุใดอนุภาคพื้นฐานชนิดอื่นถึงมีมวล” อนุภาคนี้ได้รับการขนานนามว่า “อนุภาคฮิกส์ โบซอน หรืออนุภาคพระเจ้า” ปัญหาบางอย่างอาจใช้เวลาไม่มาก แต่บางอย่างต้องใช้เวลาแก้ไขไปตลอดชีวิต
การจะแก้ปัญหาก็ต้องสืบค้นจนพบสาเหตุเหมือนแพทย์จะรักษาโรคก็ต้องหาสาเหตุของโรคให้พบ จึงจะหายารักษาโรคได้ถูกต้อง ชีวิตของปุถุชนคนสามัญย่อมมีสุขบ้างทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป คนที่มีทุกข์โดยส่วนเดียวไม่มี หรือคนที่มีความสุขโดยส่วนเดียวก็หายาก ยกเว้นแต่พระอรหันต์ที่มีจิตพ้นจากตัณหาแล้ว แต่ถ้ายังเป็นสามัญชนก็ต้องทนสู้กับปัญหาและหาทางแก้ไขกันต่อไป โลกนี้มีความสุขไว้ให้เสพ มีความทุกข์ไว้ให้แก้ ปัญหามีไว้แก้ ไม่ใช่มีไว้กลุ้ม
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
19/07/55