บังเอิญได้ยินพนักงานขายที่ร้านขายกล้องแห่งหนึ่งเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา พอได้ฟังครั้งแรกจำได้ทันที แม้จะยังไม่ทราบความหมายว่ามันคืออะไรก็ตาม แต่พอย้อนกลับไปคิดเล่นๆถึงความหมายที่แทรกอยู่ในวลีทั้งสามนั้นก็ต้องยิ้มอยู่คนเดียว ช่างสรรหาคำอธิบายต้นเดือนและกลางเดือนได้เหมาะเจาะดีแท้ คนที่คิดประโยคนี้ได้น่าจะเคยประสบพบเจอมากับตัวเอง มาลองอธิบายตีความของวลีทั้งสามตามใจอาตมา ก็จะได้คำอธิบายดังต่อไปนี้
“เช้าวุ่นวาย” ช่วงเวลาเช้าเดินไปไหนมาไหนก็มักจะมีคนยิ้มให้ และจะมีคนถามว่า “เมื่อคืนฝันดีไหมหลวงพ่อ” หรือมีอะไรที่ดีๆไหมช่วงสงเคราะห์โยมหน่อย โยมกำลังต้องการเงิน หรือถามตรงๆไปเลยว่า “หวยงวดนี้จะออกตัวไหน” เป็นคำถามที่ตอบไม่ได้สักข้อ เรื่องของความฝันก็เอาสาระอะไรไม่ค่อยได้ แล้วแต่สภาพของจิตใจในขณะหลับ บางครั้งอาจจะเผลอดื่มอะไรลงไปผิดสำแดงทำให้ธาตุกำเริบจะทำฝันวุ่นวายจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือรอให้เทวดามาดลใจหรือเทวดาสังหรณ์จะได้ฝันดี เทวดาก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างมาเข้าฝัน บางท่านอาจจะกำลังชมการแข่งขันฟุตบอลที่โปแลนด์อยู่ก็ได้ อย่าว่าไปเทวดาบางภพบางภูมิท่านก็มีอารมณ์สุนทรีย์อยู่เหมือนกัน หากจะรอให้เทวดามาบอกหวยก็ไม่แน่ว่าเทวดาท่านจะรู้เรื่องด้วย

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของชาวบ้าน เทวดาคงไม่มายุ่งเกี่ยวหรอก หากจะดูโทรทัศน์เกี่ยวกับข่าวของสิ่งมหัศจรรย์เช่นตุ๊กแกไหว้พระ เห็ดออกดอกใหญ่ขนาดใบบัวบก หรือค้นพบต้นตะเคียนอายุหลายร้อยปี เหตุการณ์ทำนองนี้ก็มีมากเกินไป หากนำมาตีเป็นหวยก็ต้องซื้อหลายตัว อาจจะมีคนจะโชคดีบ้างหนึ่งในร้อยคน แต่อีกเก้าสิบเก้าคนก็ต้องผิดหวัง
สาเหตุแห่งความฝันนั้นมาจากเหตุสี่ประการดังที่แสดงไว้ในอรรถกถาพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์เล่ม 1 ภาค 3 หน้าที่ 102 ความว่า “บุคคลเมื่อจะฝันนั้นย่อมฝันเพราะเหตุสี่ประการคือ “ฝันเพราะธาตุกำเริบ เพราะเคยทราบมาก่อน เพราะเทวดาสังหรณ์ และเพราะบุพพนิมิต”
“ถึงหลวงพ่อไม่บอกพวกดิฉันก็ซื้ออยู่แล้ว” โยมขายอาหารข้าวเหนียวส้มตำหน้าวัดบอกอย่างนั้น “ซื้อเล่นๆเผื่อโชคดี”แม่ค้าขายกล้วยแขกสำทับมาอีก
คนขับรถเจ้าประจำยังบอกว่า“หากท่านอาจารย์จะไปไหนในวันที่สิบหกและวันที่หนึ่งของทุกเดือนให้หารถคันอื่น รถผมไม่ว่างสองวัน” เขาไปทำอะไรไม่ได้บอก ได้แต่คาดเดาว่าน่าจะวุ่นวายกับการเสี่ยงโชคหรือรอฟังหวยเด็ดจากบรรดาอาจารย์ใบ้หวยทั้งหลาย
เช้าวันที่สิบหกจึงเห็นแต่คนที่คอยรอโชคชะตาจะมาบันดาล เป็นเช้าที่วุ่นวาย คนที่กำลังฝันถึงเงินก้อนโตย่อมมีทั้งความฝันอันบรรเจิดเพริดแพร้วในหัวใจเป็นธรรมดา

“บ่ายตื่นเต้น” พนักงานตามที่ทำงานทั้งหลาย มักจะคอยเงี่ยหูฟังวิทยุหรือนั่งจับกลุ่มดูโทรทัศน์รายการถ่ายทอดสด อันนี้ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังมีการถ่ายทอดอยู่หรือไม่เพราะไม่ได้ดูมาเป็นปีแล้ว แต่การจับกลุ่มยังเห็นอยู่ ทุกคนกำลังนั่งลุ้นนั่งรอผลของการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลอย่างใจจดใจจ่อ งานประจำก็ต้องรอหรือหยุดพักไว้สักพัก บางคนอาจจะถูกหลอกอีกเพราะมีคนมาบอกว่าหวยออกบังเอิญตรงกับที่ซื้อตอนเช้า หากไม่ระวังอาจเผลอเลี้ยงฉลองหมดเงินไปหลายบาท แต่พอผลออกมาจริงๆก็ทำอะไรไม่ทันแล้ว ชีวิตของผู้คนในภาคบ่ายวันที่สิบหกวุ่นวายเพราะรอโชค
คนเราเมื่อลงทุนไปก็ย่อมอยากได้กำไร ลงทุนร้อยบาทแต่ได้กลับมาเป็นหมื่นยิ่งต้องตื่นเต้นเป็นพิเศษ คนขายซึ่งส่วนหนึ่งก็คือรัฐบาลโดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้รางวัลบางครั้งลุงทุนซื้อสลากกินแบ่งแผ่นเดียวราคาหนึ่งร้อยบาท แต่อาจจะมีโชคได้รางวัลตั้งสามสี่ล้านบาท คนที่หวังรวยทางลัดจึงยอมเสี่ยงโชคกันเป็นแถว ร้อยหนึ่งที่เสียไปคงไม่เท่าไหร่แต่หากได้เงินล้าน เงินร้อยก็น่าเสี่ยง "มันตื่นเต้นตอนลุ้นเงินล้านนี่แหละครับ" คนงานข้างวัดบอก

“เย็นนั่งเศร้า” เย็นวันที่สิบหกอาจจะมีเพียงบางคนที่นั่งยิ้ม เพราะบังเอิญถูกรางวัล แต่คนที่นั่งเศร้าย่อมมีมากกว่า รางวัลมีน้อยโอกาสที่จะถูกรางวัลก็ยิ่งมีน้อยไปอีก เรื่องนี้ไม่ต้องอธิบายมาก คนที่กำลังมีความอยากเพราะความโลภบังตา กิเลสตัณหาบังใจ แต่เมื่อไม่สมหวังในสิ่งที่หวังก็ย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา มีแต่คนที่ไม่มีความหวังหรือไม่หวังอะไรจึงจะไม่ผิดหวังรักษาอาการเป็นปรกติคือไม่เศร้าไม่โศก ไม่ดีใจหรือเสียใจกับสิ่งทั้งหลาย เมื่อใจเป็นปรกติชีวิตก็เป็นปรกติ รักษาตนไว้ให้ตลอดปลอดภัยไว้ก่อนน่าจะเป็นการดี
ในพระพุทธศาสนามีพุทธภาษิตเกี่ยวกับการรักษาตนดังที่แสดงไว้ในอัตตวรรค ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท (25/06/30) ความว่า “หากว่าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รักไซร้ พึงรักษาตนนั้นไว้ให้เป็นอัตตภาพอันตนรักษาดีแล้ว บัณฑิตพึงประคับประคองตนไว้ตลอดยามทั้งสามยามใดยามหนึ่ง”
แปลมาจากภาษาบาลีว่า “อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺญา รกฺเขยฺย นํ สุรกฺขิตํ
ติณฺณํ อญฺญตรํ ยามํ ปฏิชคฺเคยฺย ปณฺฑิโต ฯ
คำอธิบายในอรรถกถา “การรักษาตน” มีสองนัยยะคือการรักษาตนของคฤหัสถ์และบรรพชิต คำอธิบายสรุปได้ว่า “การรักษาตนสำหรับคฤหัสถ์ ถ้าผู้เป็นคฤหัสถ์คิดว่า จักรักษาตน เข้าไปสู่ห้องที่เขาปิดไว้ให้เรียบร้อย เป็นผู้มีอารักขาสมบูรณ์อยู่บนพื้นปราสาทชั้นบนหรือนั่งในห้องแอร์ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นผู้รักษาตน แต่ผู้เป็นคฤหัสถ์ทำบุญทั้งหลายมีทาน ศีล เป็นต้นตามกำลังอยู่จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาตน
ผู้เป็นบัณฑิตเมื่อไม่อาจทำอย่างนั้นได้ในวัยต้นหรือในวัยหนุ่มสาวหรือยังไม่ได้ทำกุศลในวัยใดวัยหนึ่ง ต้องประคับประคองตนไว้ ถ้าผู้เป็นคฤหัสถ์ ไม่อาจทำกุศลได้ในปฐมวัย เพราะความเป็นผู้หมกมุ่นอยู่ในการเล่น ในมัชฌิมวัยพึงเป็นผู้ไม่ประมาทบำเพ็ญกุศล ถ้าในมัชฌิมวัย ยังต้องเลี้ยงบุตรและภรรยาไม่อาจบำเพ็ญกุศลได้ ในปัจฉิมวัยพึงบำเพ็ญกุศลให้ได้ ด้วยลักษณะอาการอย่างนี้ ตนต้องเป็นอันเขาประคับประคองแล้ว แต่เมื่อเขาไม่ทำอย่างนั้นตนย่อมชื่อว่า ไม่เป็นที่รัก ผู้นั้นเท่ากับทำตนนั้น ให้มีอบายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทีเดียว

ส่วนการรักษาตนของบรรพชิต อธิบายไว้ว่า “ผู้เป็นบรรพชิต แม้จะอยู่ในถ้ำอันปิดเรียบร้อยมีประตูและหน้าต่างอันปิดแล้วก็ตามทียังไม่ชื่อว่ารักษาตนเลย แต่ผู้เป็นบรรพชิตถึงความขวนขวายในวัตร ปฏิวัตร ปริยัติ และการทำไว้ในใจอยู่ ชื่อว่าย่อมรักษาตน
ถ้าหาบรรพชิตในปฐมวัยทำการสาธยายอยู่ ทรงจำ บอก ทำวัตรและปฏิวัตรอยู่ หรือยังสอบถามอรรถกถาและวินิจฉัย และเหตุแห่งพระปริยัติ อันตนเรียนแล้วในปฐมวัยอยู่ ชื่อว่าถึงความประมาท ในมัชฌิมวัยและปัจฉิมวัยพึงเป็นผู้ไม่ประมาทบำเพ็ญสมณธรรม ด้วยอาการแม้อย่างนี้ตนย่อมเป็นอันบรรพชิตนั้นประคับประคองแล้วทีเดียว แต่เมื่อไม่ทำอย่างนั้นตนย่อมชื่อว่าไม่เป็นที่รัก บรรพชิตนั้นเท่ากับทำตนนั้นให้เดือดร้อน ด้วยการตามเดือดร้อนในภายหลังโดยแท้
อรรถกถาคือหนังสือที่อธิบายข้อความจากพระไตรปิฎกให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยก็อาจจะสับสนไปบ้าง สรุปได้สั้นๆว่า “หากเป็นคฤหัสถ์ยังไม่ได้ทำกุศลในปฐมวัย(วัยเด็ก) มัชฌิมวัย(วัยกลางคน)ก็ต้องทำกุศลในปัจฉิมวัย(วัยชรา) เมื่อเป็นเด็กหรือหนุ่มสาวมัวแต่ศึกษาเล่าเรียนเพื่อประกอบอาชีพจึงไม่มีโอกาสได้ทำบุญก็ต้อง ทำในวัยต่อๆไป แต่ถ้าหากเป็นไปได้ต้องค่อยทำต้องค่อยๆสะสมบุญกุศลไว้เรื่อยๆ หากคิดว่าให้แก่ค่อยทำ บางคนไม่มีโอกาสแก่ชรา อาจจะเสียชีวิตก่อนวัยเลยพลาดโอกาสในการทำบุญไป
พระสงฆ์หรือบรรพชิตตอนอยู่ในวัยหนุ่มต้องศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัย อาจจะมีค่อยมีเวลาในการบำเพ็ญสมณธรรม ก็ต้องหาโอกาสกระทำในวัยชรา แต่ถ้าศึกษาเล่าเรียน พากเพียรปฏิบัติไปด้วย บุญกุศลและคุณงามความดีก็จะค่อยพอกพูนขึ้นตามลำดับ

“เช้าวุ่นวาย บ่ายตื่นเต้น เย็นนั่งเศร้า” เป็นคำอธิบายสำหรับคนในยุคแห่งการแสวงหาลาภลอยหรือรอโชคชะตา และยังสามารถอธิบายชีวิตมนุษย์ได้อีกด้วย ในวัยเด็กและหนุ่มสาวเหมือนเวลาเช้าชีวิตย่อมวุ่นวายเพราะต้องศึกษาเล่าเรียนหาวิชาชีพเพื่อใช้ประกอบอาชีพทำมาหาเลี้ยงชีพ พอถึงวัยกลางคนก็ต้องตั้งตัวให้ได้ จะเลือกเป็นอะไรก็ต้องเลือก ดังคำโฆษณาเรื่องหนึ่งว่า “ชีวิตของเราใช้ซะ” ชีวิตจึงต้องมีความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เพราะต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนอื่นๆด้วย ส่วนคนในวัยชราก็เหมือนวันเวลาในตอนเย็นดวงตะวันบ่ายคล้อยรอเวลาจะโบกมือลาทิวาวารก่อนจะลับหายสิ้นแสงตะวัน คนในวัยชราหากไม่มีที่พึ่งย่อมนั่งเศร้าเหงาโศกรอแสงสุดท้ายแห่งชีวิตจะมาเยือน เพื่อนที่เคยคบหาก็ค่อยๆจากไป เป็นคนแก่ที่นั่งเศร้า
หากรู้ว่าตนเป็นที่รักของตนแล้วไซร้ ก็ต้องรักษาตนไว้ให้ดี ทำบุญทีละนิด รักษาจิตทีละหน่อย อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไร้ประโยชน์ “เช้าก็สบาย บ่ายไม่รำเค็ญ เย็นสงบสุข”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
16/06/55