เสียงเครื่องยนต์จากรถขุดลอกคลองที่กรุงเทพมหานครกำลังจะทำบ่อบำบัดน้ำเสียที่คลองหน้าวัด เสียงดังน่ารำคาญมาก จ้าหน้าที่ทำงานทั้งวันทั้งคืน ตอนกลางวันไม่เท่าไหร่ เพราะมีเสียงอย่างอื่นให้ได้ยินเป็นเรื่องธรรมดา เสียงเด็กนักเรียนจากโรงเรียนข้างวัดนั่นก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะได้ยินได้ฟังมาหลายปีจนคุ้นเคย แต่เสียงจากเครื่องยนต์ที่ทำงานตอนกลางคืนนิสิ ทำให้นอนไม่หลับ พอจะหลับเสียงเครื่องยนต์ก็กระหึ่มและสะเทือนมาถึงกุฏิ ต้องสะดุ้งตื่นทุกที จะดูโทรทัศน์ถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร ก็ดูไม่ได้จอมันดำ จะหาเงินซื้อเสาหนวดกุ้งก็ยังไม่มีเวลาไปหาซื้อมา ฟุตบอลก็ดูไม่ได้นอนก็นอนไม่หลับ เป็นช่วงเวลาปัจจุบันที่ไม่ค่อยสงบนัก
ศาลาหน้าวัดตามปรกติจะใช้เป็นสถานที่พบปะผู้คนในยายเย็นได้สนทนาพูดคุย ได้รับฟังปัญหาของแต่ละคน เพราะในเวลาเย็นมักจะมีผู้คนแวะเวียนมาให้อาหารปลาบ้าง พาเด็กๆมาเดินเล่นบ้าง ลานวัดและศาลาท่าน้ำหน้าวัดจึงเป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนของคนทั่วไป แต่วันนี้กรุงเทพมหานครได้ยึดพื้นที่เพื่อทำการขุดลอกคลองและทำที่บำบัดน้ำเสียก่อนที่จะปล่อยลงแม่น้ำเจ้าพระยา จึงมีเสียงเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ส่งเสียงกระหึ่มตลอดวันทั้งคืน ย้ายกุฏิหนีไปไหนไม่ได้ก็ต้องอดทนเข้าไว้ ชีวิตต้องอดทนอยู่แล้ว สิ่งรบกวนภายนอกรับรู้ได้ สัมผัสได้ อีกหน่อยก็ชินไปเอง แต่สิ่งรบกวนภายในที่มาจากความคิด จากจิตของเราเองนั้นยากแท้จะแก้ไข บางครั้งความทุกข์ก็เกิดจากภายในใจเราเอง ทำอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์ ความทุกข์นี้เกิดจากอะไร
เกี่ยวกับปัญหานี้พระพุทธเจ้าได้ตอบปัญหาแก่กกุธเทวบุตรดังที่ปรากฏในกกุธสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/271/78) ความว่า “ครั้งหนึ่งกกุธเทวบุตรได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่ภิกษุ ทำไมพระองค์จึงไม่มีทุกข์ ทำไมความเพลิดเพลินจึงไม่มี ทำไมความเบื่อหน่ายจึงไม่ครอบงำพระองค์ผู้นั่งอยู่ผู้เดียว”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ผู้มีทุกข์นั่นแหละจึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละจึงมีทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ”
เพราะความเพลิดเพลินจึงมีทุกข์ ถ้าไม่มีความเพลิดเพลินก็ไม่มีทุกข์ ทำให้ย้อนกลับไปถึงชีวิตสมณะที่เริ่มต้นจากพระบ้านนอก อยู่ตามป่าตามเขา ช่วงนั้นไม่มีความเพลิดเพลินอะไร แต่จิตใจมีความสุข แต่พอเปลี่ยนเส้นทางจากป่าเข้าสู่เมืองเปลี่ยนจากพระป่ามาเป็นพระนักศึกษา แม้จะทำให้ชีวิตพระอยู่รอดมาได้หลายปี แต่ทว่าเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงความทรงจำในอดีตกลับทำให้มีความสุข เป็นความสุขที่เกิดจากการเดินทางและการพักอาศัยด้วยจิตใจที่สงบสุขในวัดป่าแห่งหนึ่ง ความหลังครั้งอดีต ค่อยๆผุดขึ้นมาในมโนสำนึก กลางดึกของคืนที่นอนไม่หลับ
วันนั้นเย็นมากแล้วเมื่อภิกษุหนุ่ม(ปุญญมโน)เดินทางมาถึงวัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) ขณะนั้นพระภิกษุสงฆ์กำลังฉันยาปรมัตถ์ เมื่อภิกษุหนุ่มเดินเข้าไปจึงได้พบกับพระเถระหลายรูป หนึ่งในนั้นคือหลวงปู่หลุย จันทสโร ตอนนั้นท่านอยู่ในวัยชราแต่ยังแข็งแรงทำกิจวัตรทุกอย่างได้ตามปรกติ หลวงปู่หลุยชอบทำไม้กวาดและทำกลด ไม้ที่หลวงปู่นำมาทำกลดนั้นจะประณีตเป็นพิเศษ เพราะหลวงปู่ค่อยๆทำ เคยมีภิกษุถามว่าทำไมหลวงปู่จึงยังทำกลดอยู่น่าจะพักผ่อนในวัยชราและเลิกทำได้แล้ว หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า “ทำเพื่อการภาวนา”
ได้พบกับเพื่อสหธรรมมิกหลายรูป บางรูปมาจากหมู่บ้านเดียวกันแต่อุปสมบทมานานกว่า บางรูปเป็นพระเถระแล้ว บางรูปพึ่งจะอุปสมบท เพื่อภิกษุรูปหนึ่งบอกว่า “เมื่อวานนี้มีการอุปสมบทที่วัดถ้ำกลองเพล อุปัชฌาย์ถามหาท่าน บอกว่าหากพบเมื่อไหร่ให้แวะไปหาด้วย”
พระอุปัชฌาย์จำพรรษาที่วัดบุญญานุสิทธิ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดถ้ำกลองเพลมากนัก ในช่วงนั้นทั้งอำเภอหนองวัวซอมีอุปัชฌาย์รูปเดียว หากมีพิธีอุปสมบทก็ต้องนิมนต์ท่านมาเป็นอุปัชฌาย์ อาตมาก็อุปสมบทและอยู่จำพรรษากับพระอุปัชฌาย์ สังกัดวัดก็อยู่ที่นั่น แต่ออกพรรษาแล้วได้บอกลาอุปัชฌาย์ว่าจะมาเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเกิด หลายเดือนมาแล้วยังไม่ได้ย้อนกลับไปอีกเลย เพราะมัวแต่ท่องเที่ยวเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆที่อยากไป นี่ก็หลายวันมาแล้วที่เดินทางจากอำเภอหนึ่งมายังอีกอำเภอหนึ่งโดยการเดินเท้าโดยไม่มีจุดหมาย
แต่ทว่าในการเดินทางแบบนี้กับมีความสุข เพราะได้มีโอกาสพบเห็นเรื่องราวต่างๆจากชาวบ้าน ได้พบเห็นความเชื่อแปลกๆที่ไม่เคยประสบมาก่อน ธรรมชาติของป่ามีความสงบ ในความสงบมักจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ
วัดถ้ำกลองเพล เป็นวัดป่าตั้งอยู่เชิงเขาภูพาน สันนิษฐานว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยขอมเข้ามาครอบครอบดินแดนแห่งนี้ แต่ไม่มีหลักฐานว่าสร้างมา ตั้งแต่เมื่อใด ต่อมาเป็นวัดร้างไม่มีพระภิกษุสามเณรจำพรรษาจนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2501 พระอาจารย์หลวงปู่ขาว อนาลโย พระวิปัสสนา กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ได้อาศัยวัดแห่งนี้ เป็นสถานที่วิปัสสนากรรมฐาน โดยใช้พื้นที่ที่เกิดจากหมู่ก้อนหินขนาดใหญ่สามสี่ก้อนที่มีหลืบและชะโงกหิน ก่อเป็นหลังคาคอนกรีต เชื่อมถึงกัน ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ สามารถจุคนได้ หลายร้อยคน เพื่อใช้เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่นั่นจนกระทั่งมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2526 นอกจากนั้นมีถ้ำซึ่งภายใน มีกลองโบราณ สองหน้าหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “กลองเพล” ภายในถ้ำมีรูปปั้นของหลวงปู่ขาว ตามซอกหินภายในถ้ำมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ประดิษฐาน อยู่หลายองค์ ประกอบด้วยพระพุทธรูปปางสมาธิ พระพุทธรูปไสยาสน์ พระพุทธปัญฑรนิมิต ซึ่งเป็น พระพุทธรูปปางลีลาที่จำหลักลงใน ก้อนหิน และมีพระสังกัจจายน์องค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าถ้ำกลองเพล จากวัดถ้ำกลองเพลไม่ไกลนัก มีถนนราดยาง ลัดเลาะไปตามแนวป่า
ช่วงนั้นหลวงปู่ขาว อนาลโยยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันตอนเย็นพระภิกษุสามเณรจะมารวมกันที่กุฏิหลวงปู่ทำกิจวัตรคือการสรงน้ำหลวงปู่ พระภิกษุสามเณรจะช่วยกันอุ้มหลวงปู่ไปสงน้ำถูตัว ถูสบู่ สรงน้ำ เช็ดตัว เปลี่ยนผ้า จนกระทั่งพาหลวงปู่เข้าห้อง จากนั้นก็จะมีวาระเฝ้าดูแลหลวงปู่ไม่ให้ขาด เพราะช่วงนั้นหลวงปู่ขาว อนาลโย ชราภาพมากแล้ว ไม่พูดไม่สอนอะไรแล้ว มีเพียงรอยยิ้มที่สดใสประกอบด้วยความเมตตา เพียงรอยยิ้มของหลวงปู่ก็ลืมไม่ลงแล้ว เป็นรอยยิ้มที่บรรยายไม่ได้ แต่รู้สึกได้ว่าหลวงปู่มีความเมตตาอยากให้ภิกษุรูปอื่นๆปฏิบัติธรรมและเห็นธรรมอย่างที่หลวงปู่เห็น เพียงแต่ไดแห้นรอยอยิ้มของหลวงปู่ก็รู้สึกอิ่มใจ อยากประพฤติปฏิบัติ อยากรู้อยากเห็นเหมือนที่หลวงปู่เห็น
อาตมาพักที่แคร่ไม้ไผ่อยู่ไม่ไกลจากกุฏิหลวงปู่ขาวมากนัก ในความเงียบสงบและอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์เหมือนมีพ่อแม่ที่คอยให้คำแนะนำในการปฏิบัติ ช่วงนั้นหลวงปู่บุญเพ็ง เป็นเจ้าอาวาส มีพระภิกษุเดินทางเข้าออกวันหนึ่งหลายรูป ส่วนหนึ่งเป็นพระที่ต้องการมากราบสักการะหลวงปู่ขาวและขอคำปรึกษาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก่อนจะเดินทางออกท่องเที่ยงธุดงค์ไปตามที่ต่างๆต่อไป
ที่พระภิกษุวัดถ้ำกลองเพลกลัวมากที่สุดกลับเป็นหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งมักจะเดินทางมาโดยไม่บอกใคร ท่านจะชี้ไปที่รูปนั้นรูปนี้จากนั้นก็อธิบายธรรมะต่างๆไปเรื่อยๆ หากมีใครคิดขัดแย้งขึ้นมา ธรรมเทศนานอกธรรมาสน์ก็จะอุบัติขึ้นมาในช่วงนั้นเช่น “หากเป็นพระแล้วไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็นพระอยู่ไปทำไมกัน พระต้องมีวินัย หากไม่มีวินัยก็จะไม่ต่างไปจากโจรที่เที่ยวปล้นชาวบ้าน ข้าวทุกคำที่ชาวบ้านใส่บาตรให้นั้นคือหนี้ทั้งนั้น ต้องปฏิบัติตนให้สมกับข้าวทุกคำที่ชาวบ้านใส่บาตรให้” แต่หลวงตามหาบัวไม่ได้เจาะจงไปที่ใคร ยกเว้นแต่จะมีพระรูปใดคิดในเรื่องที่ไม่ควรคิดหรือทำผิดพระวินัยขึ้นมา
ชีวิตพระที่ถ้ำกลองเพลนี้เรียบง่าเช้าออกบิณฑบาตซึ่งมีสายหลักๆอยู่สามสายคือสายหนึ่งไปที่บ้านโนนทัน อีกสายหนึ่งต้องเดินตามสันเขาไปที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าชื่อหมู่บ้านนั้นชื่ออะไร อีกสายหนึ่งเดินตามสันเขาเหมือนกันแต่เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในป่ามีไม่กี่หลังคาเรือน กลับมารวมกันที่ศาลาโรงฉัน ใครบิณฑบาตได้อะไรมาก็มาเทรวมกัน อาหารที่ได้มาบางอย่างใส่ถุง บางอย่างเป็นอาหารประเภทเดียวกันก็นำมารวมกันใส่หม้อแกงรวมกัน แกงชนิดนี้ดูไม่ออกว่าคืออะไร สมัยนั้นเรียกกันว่า “แกงโฮ๊ะ” ซึ่งน่าจะเป็นภาษาคำเมืองจากภาคเหนือ ไม่รู้ใครนำมาเรียกแกงชนิดนี้ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารหลักที่พระภิกษุสามเณรทุกรูปได้ฉันร่วมกัน ตักใส่บาตรใครบาตรมัน ฉันเท่าที่ความต้องการ วันหนึ่งฉันครั้งเดียวก็เลิก
เสร็จจากฉันภัตตาหารเช้าก็แยกย้ายกันกลับกุฏิใครกุฏิมัน ใครจะทำอะไรก็ทำได้ตามสะดวก บางรูปออกเดินป่าหาที่สงบบำเพ็ญเพียรตามความถนัด ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์หากท้องอิ่มหนังตาจะหย่อน วิธีแก้มีหลายอย่าง วิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดคือการเดินจงกรมกลับไปกลับมาจนเหงื่อออก อาหารก็จะย่อย บางรูปเดินจงกรเป็นเวลานาน จากนั้นจึงนั่งสมาธิ เดินและนั่งสลับกันไป หากไม่เดินฉันเสร็จเข้าห้องมักจะทนความง่วงไม่ไหว เอนสักงีบเผลอหลับไปนาน
หากไม่เดินจงกรมก็ต้องหาทางเดินเข้าป่าหาไม้มาทำไม้สีฟันบ้าง ทำด้ามไม้กวาดบ้าง ทำริ้วกลดบ้าง ทำขาตั้งบาตรบ้าง บางรูปเลือกทำบริขารของใช้สอยต่างๆเช่นทำกลด ขาตั้งบาตร เย็บสบงจีวรเป็นต้น หรือเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่มีใครว่า งานทุกอย่างต่างก็ทำด้วยความสมัครใจทั้งนั้น บางรูปบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเดียว เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ที่วัดถ้ำกลองเพลจึงมีงานให้ทำไม่เคยขาด
ในชีวิตที่เรียบง่ายอาตมา(ปุญญมโน)มักจะออกเดินป่าตามเพื่อนๆภิกษุรูปอื่นๆ หรืบางวันเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย ชีวิตผ่านไปวันๆ แต่มีความสุขมีความอิ่มใจ เพราะทุกเย็นจะได้เห็นหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นประกอบด้วยเมตตาธรรม ตอนนั้นคิดในใจรูปเดียวเงียบๆว่า “ยิ้มของหลวงปู่ขาวเหมือนจะหยุดโลกทั้งโลกให้หยุดหมุน” ช่วงนั้นใกล้วารสุดท้ายของชีวิตของหลวงปู่แล้วจึงเห็นแต่รอยยิ้ม ไม่ได้ฟังเสียงของหลวงปู่เลย อีกไม่กี่ปีต่อมาหลวงปู่ก็มรณภาพ จึงเป็นการอยู่พักที่วัดถ้ำกลองเพลช่วงสั้นๆและโชคดีที่ยังทันได้เห็นหลวงปู่ขาว อนาลโย
วันหนึ่งมีงานอุปสมบทที่วัดถ้ำกลองเพล พระอุปัชฌาย์ได้พบหน้าจึงบอกให้กลับวัดพร้อมกับท่านในวันนั้นนั่นเอง โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ อุปัชฌาย์บอกสั้นๆว่า “กลับวัดหลวงพ่อมีงานให้ทำ” สั้นๆเพียงเท่านี้ พระบวชใหม่ก็ติดตามพระอุปัชฌาย์เดินทางกลับวัดบุญญานุสิทธิ์ หนองวัวซอ ต้นสังกัดเดิมทันที รออยู่หลายวันหลวงพ่ออุปัชฌาย์ก็ไม่ได้บอกว่างานที่จะให้ทำนั้นคืออะไร
จนกระทั่งหลังสงกรานต์หลวงพ่ออุปัชฌาย์จึงบอกว่า “จะบวชอยู่ต่อไปหรือจะลาสิกขา หลวงพ่อไม่ว่าอะไร แต่หลวงพ่อขออย่างเดียว เรียนบาลีให้หน่อยกี่ปีก็ได้ ลูกศิษย์หลวงพ่อยังไม่เคยมีใครเป็นพระมหาเปรียญสักรูป ส่งไปเรียนที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานีมหาหลายรูปแล้ว แต่ไม่เคยมีใครสอบได้จนเป็นพระมหาเปรียญแม้แต่รูปเดียว ช่วยทำความฝันของหลวงพ่อให้เป็นจริงหน่อย”
ตอนนั้นจิตใจยังอยากอยู่ในป่าอยากท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ยังหาเส้นทางในการบวชที่แท้ไม่พบ หลวงพ่อบอกว่า “พระที่จะบวชอยู่ได้นานตามที่แสดงไว้ในวิสุทธิมรรคมีสามประเภทคือพระนักปฏิบัติหรือพระกรรมฐาน พระเรียนปริยัติหรือพระนักเรียน และพระนวกรรมหรือพระนักก่อสร้าง อย่างท่านนี่เป็นพระนักเรียนน่าจะเหมาะที่สุด อีกอย่างหลวงพ่อได้พูดกับเจ้าคณะจังหวัดไว้แล้ว บอกท่านว่าหลังสงกรานต์จะพาไปฝากเพื่อเรียนภาษาบาลี จัดเตรียมข้าวของเครื่องให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าฉันภัตตาหารเสร็จออกเดินทาง”
พระใหม่แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากพระอุปัชฌาย์คืออยากเป็นพระกรรมฐาน เพราะได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่แปลกๆ บางแห่งไม่เคยไป แต่เมื่อพระอุปัชฌาย์ขอร้องแกมบังคับอย่างนี้ คงไม่มีทางเลือก ลองดูหน่อยก็คงไม่เป็นไร
“หากอยากจะไปเที่ยวกรรมฐาน สอบบาลีเสร็จแล้วค่อยไปก็ได้ มีเวลาว่างจากการเรียนหลายเดือน พอเปิดเทอมก็กลับเข้าไปเรียนใหม่ได้ หากอยู่ในศาสนาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร หลวงพ่อขอเพียงปีเดียวเท่านั้น ส่วนปีต่อๆเป็นเรื่องของท่าน จะเลือกเรียนต่อหรือจะออกป่าเป็นพระกรรมฐานก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ส่วนงานก่อสร้างหลวงพ่อว่าอย่างท่านนี้คงไม่เหมาะ” หลวงพ่ออุปัชฌาย์พูดขึ้นมาเหมือนจะรู้ว่าพระใหม่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
การเดินทางที่ไม่ถึงจุดหมายในครั้งนั้น จึงได้เปลี่ยนเส้นทางเดินจากพระบวชใหม่ผู้ที่กำลังจะเดินสู่วิถีของพระป่ากรรมฐาน แต่กลับต้องเปลี่ยนเส้นทางจากป่าเข้าสู่เมือง จากพระวัดป่ากลายเป็นพระวัดในเมือง จากพระบ้านนอกธรรมดา ไม่มีความรู้ทางโลกติดตัวมานิดหน่อย เริ่มต้นเรียนภาษาบาลีอันเป็นภาษาที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จากพระธรรมดากลายมาเป็นพระมหาเปรียญ และยังมีความรู้พิเศษแถมมาอีกอย่างคือศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต สร้างฝันของหลวงพ่ออุปัชฌาย์ให้เป็นจริงขึ้นมาได้
เส้นทางเดินของคนบางคน เขาคนนั้นอาจจะเป็นผู้เลือกเอง ถือว่าเกิดมาโชคดีได้เลือกเดินในเส้นทางที่ตนเองเลือก แต่สำหรับคนบางคนมีผู้เลือกให้เป็นเหมือนผู้ชี้ช่องทาง พ่อแม่ครูอาจารย์จึงเป็นเหมือนผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้ อยู่กับตัวเราเองว่าจะเลือกเดินตามเส้นทางที่ท่านแนะหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ตัวเราองเป็นผู้เลือก แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบอกว่า “เราตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทาง” ส่วนการจะเดินตามทางที่พระองค์บอกไว้นั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
คิดอะไรเพลินๆจนไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คลองหน้าวัดทำงาน เขาทำงานของเขาไป เราก็ทำงานของเราไป ต่างฝ่ายต่างมีงานให้ทำ ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรจำพรรษาอยู่แทบจะกลางเมืองหลวงแท้ๆ แต่จิตใจกับย้อนกลับไปหวนระลึกนึกถึงชีวิตในป่าเขาลำไพรโน่น สาเหตุหนึ่งมาจากเสียงเครื่องยนต์ของคนทำงานนี่แหละ แต่ทว่าปัจจุบันคือความเป็นจริง อดีตคิดได้แต่ไม่มีทางย้อนกลับมาเป็นได้ดังเดิมอีก อนาคตก็ยังมาไม่ถึงคิดไปก็ไร้ประโยชน์ อยู่กับปัจจุบัน แม้จะมีเสียงรบกวนแต่หากไม่ฟังก็ไม่ได้ยิน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
13/06/55