มีคนบอกว่าพอคนเราอายุมากขึ้นหรือที่มักจะเรียกตัวเองและพวกพร้องว่า “สว” ที่แปลว่า “สูงวัย” มักจะทำอะไรช้าลง เช่นเดินก็ช้าลง พูดก็ช้าลง ทำอะไรก็ไม่ว่องไวงกๆ เงิ่นๆ เดินไปคิดไป บางทีเดินไปแล้วตั้งไกลยังสงสัยว่าประตูห้องตัวเองปิดใส่กุญแจหรือยัง ต้องย้อยกลับมาดูอีกที ทั้งๆปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว คงเป็นเพราะความเคยชิน แต่เจ้าความคิดมันหลงๆลืมๆ คิดไปเองที่เป็นเช่นนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากโทษตัวเองที่มีอายุมากขึ้น ทำไงได้เมื่ออายุมากขึ้นธรรมชาติก็ต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
พอพูดเรื่องคนแก่ก็พลันนึกถึงหลวงตาพันธุ์ขึ้นมา ตอนนั้นหลวงตาอายุเก้าสิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงออกบิณฑบาตได้ทุกวันและยังไปกิจนิมนต์สวดมนต์ฉันเพลได้ตามปรกติ ญาติโยมแทบทุกท่านอยากให้หลวงตาไปร่วมงานแม้จะไม่สวดอะไรแต่ก็ขอให้หลวงตานั่งเป็นประธาน เจ้าภาพก็ดีใจรู้สึกว่าได้บุญแล้ว แต่หลวงตาก็มักจะนำสวดมนต์ด้วยตนเองเพราะไม่อยากเอาเปรียบใคร มนต์บางสูตรต้องสวดสองสามครั้ง เพราะจำไม่ได้ว่าสวดไปหรือยัง เดือดร้อนพระหนุ่มเณรน้อยต้องขอโอกาสสวดสูตรอื่นๆไปก่อน ไม่อย่างนั้นจะหาที่ลงไม่ได้ สวดมนต์บทเก่ากลับไปกลับมาไม่จบสักที
หลวงตาพันธุ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ในยุคหลังๆท่านก็มักจะมอบหมายให้พระรูปอื่นนำสวดแทน หลวงตาพันธุ์มักจะพูดอยู่เสมอว่าคนเราพออายุมากขึ้นทุกอย่างจะเปลี่ยนไปท่านสรุปว่า “ที่ยาวกลับสั้น ที่มั่นกลับคลอน ที่หย่อนกลับตึง ที่ซึ้งกับเลอะ” จากนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
พอมีคนถามหลวงตาพันธุ์ก็จะขยายความให้ฟังว่า คำว่า “ที่ยาวกลับสั้น” หมายถึง สายตาเมื่อสมัยเป็นเด็กจนถึงวัยหนุ่มสาว สายตามนุษย์ทั่วไปมันยาวจะอ่านอะไรจะมองอะไรก็มองเห็นได้ในระยะไกล แต่พออายุมากขึ้นแม้จะอยู่ในระยะใกล้ก็มองไม่ค่อยเห็นจะอ่านอะไรก็ต้องใช้แว่นขยาย แต่ก็แปลกตั้งแต่หลวงตาอายุแปดสิบปีสายตาคืนกลับสามารถอ่านอะไรได้สะดวกไม่ต้องใส่แว่น เหมือนได้กลับเป็นหนุ่มอีกครั้ง ตอนนั้นผู้เขียนยังใส่แว่นอ่านหนังสือทั้งๆอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี แว่นก็หนาเตอะแล้ว
คำว่า “ที่มั่นกลับคลอน” หมายถึงฟัน แต่ก่อนเคยมั่นคงแข็งแรงเคี้ยวอะไรก็สะดวก แต่พออายุมากเข้าก็ค่อยๆหลุดไปทีละซี่สองซี่ ตอนนี้หลวงตาพันธุ์เผลอยิ้มยังมองเห็นฟันข้างบนสองสามซี่ ส่วนฟันข้างล่างยังเหลืออยู่เต็ม
คำว่า “ที่หย่อนกลับตึง” หมายถึงหูนี่ไง แต่ก่อนใครพูดอะไรก็จะได้ยินชัดเจน แต่ตอนนี้ต้องพูดเสียงดัง คนหูตึงเคยเห็นไหม บางทีเห็นเด็กพูดกับคนแก่เสียงดังอย่าพึ่งนึกว่าเด็กไม่มีมารยาทขาดสัมมาคารวะ จึงพูดกับคนแก่เสียงดัง แต่ต้องเข้าใจว่าหากพูดค่อยๆเหมือนหนุ่มสาวพูดจากัน คนแก่ก็จะไม่ได้ยิน เพราะคนแก่ส่วนมากจะหูตึง มันตึงผิดที่
คำว่า “ที่ซึ้งกับเลอะ” ผมว่าท่านมหาอธิบายได้ อ้าวหลวงตาเล่นส่งปัญหากลับมาให้ดื้อๆอย่างนั้น แม้จะพอเข้าใจแต่ก็ยังอยากฟังหลวงตาอธิบาย แต่หลวงตาเหมือนจะรู้ทันเงียบไปเฉยๆ มันก็คือความหลงลืมนี่แหละสิ่งที่เคยจำได้บางครั้งมันเลือนหายไปเฉยๆ บางครั้งอาจพูดจาเลอะเลือนไปบ้าง หากคุยกับคนแก่จึงควรให้อภัย โปรดเข้าใจหัวอกคนแก่ แม้จะไม่อยากลืมแต่มันจำไม่ได้
คนแก่มักจะหลงลืมแม้แต่เรื่องที่ใกล้ตัว ซึ่งก็เป็นธรรมชาติตามธรรมดาของสภาวธรรมที่เรียกว่า “ชรตา” แปลว่า ความแก่ ชราภาพ ส่วนคำว่า “ชรา” แปลว่าชรา ความแก่ ความคร่ำคร่า ความเสื่อมโทรม ความแก่เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายภาษาพระเรียกว่า “ชราธัมมตา” ในฐานสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต(22/57/62) มีแสดงไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายฐานะห้า ประการนี้อันสตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆคือสตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เรามีกรรมเป็นของตนเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"
จากนั้นในตอนท้ายของพระสูตรพระพุทธเจ้าทรงสรุปไว้ว่า "สัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามธรรมดา พวกปุถุชนย่อมเกลียด ถ้าเราพึงเกลียดธรรมนั้น ในพวกสัตว์ผู้มีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ข้อนั้นไม่สมควรแก่เราผู้เป็นอยู่อย่างนี้ เรานั้นเป็นอยู่อย่างนี้ ทราบธรรมที่หาอุปธิมิได้ เห็นการออกบวชโดยเป็นธรรมเกษมครอบงำความมัวเมาทั้งปวงในความไม่มีโรค ในความเป็นหนุ่มสาว และในชีวิต ความอุตสาหะได้มีแล้ว แก่เราผู้เห็นเฉพาะซึ่งนิพพาน บัดนี้ เราไม่ควรเพื่อเสพกามทั้งหลายจักเป็นผู้ประพฤติไม่ถอยหลัง ตั้งหน้าประพฤติพรหมจรรย์”
ภายหลังพระสูตรนี้พระสงฆ์นำมาใช้เป็นบททำวัตรสวดมนต์ที่เรียกว่าอภิณหปัจจเวกขณ์ ให้พิจารณาให้เห็นสภาวธรรมที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครหลีกหนีไปได้ สวดเป็นภาษาบาลีพร้อมทั้งคำแปลว่า "ชราธมฺโมมฺหิ ชรํ อนตีโต..... เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้.....เป็นต้น
หลวงตาพันธุ์มรณภาพเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2548 สิริอายุรวม 94 ปี 10 เดือน 21 วัน ในงานประจำปีวัดมัชฌันติการามเดินผ่านรูปหล่อหลวงตาพันธุ์ที่อยู่เคียงคู่กับหลวงพ่อพระครูวิจิตรธรรมสาร(วิสุธรรม)อดีตเจ้าอาวาสวัดมัชฌันติการาม ถวายดอกธูปเทียนยกมือไหว้และตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับอดีตบูรพาจารย์ทุกรูป พอเงยหน้าขึ้นเหมือนกับได้เห็นรอยยิ้มของหลวงตาพันธุ์เหมือนกับกำลังจะบอกอะไรสักอย่างว่า ไม่นานท่านมหาก็คงเป็นเหมือนกับหลวงตานี่แหละ ตอนนี้เวลาก็เริ่มขยับใกล้เข้ามาแล้ว
กำลังเขียนเรื่องนี้อยู่มีคนโทรศัพท์มาขอเลขที่บัญชีเงินเงินฝากธนาคาร เขาบอกว่าจะโอนเงินมาให้เขาบอกว่าติดหนี้มานานร่วมยี่สิบปีแล้ว จำไม่ได้ว่าเขายืมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็จนด้วยเกล้า หาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารไม่พบไม่รู้อยู่ไหน เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะหลงลืมไปได้ คงต้องปล่อยให้เขาเป็นหนี้ต่อไปอีกสักปีสองปี พอหาสมุดเงินฝากธนาคารพบเขาก็คงลืมไปอีก เพราะคนยืมก็คงหนีธรรมชาติของความแก่ไม่พ้นเหมือนกัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
05/03/55