เคยเห็นโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่งไหม เป็นเรื่องของคนขับรถแข่งที่จะต้องมีพลังในการขับเคลื่อนมากกว่าอาชีพอื่นๆเพราะขึ้นอยู่กับความเร็ว ความแรง และใจสู้ หากรถที่ขับมีทั้งความเร็วและความแรงแต่คนขับไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งก็สู้คนอื่นไม่ได้ คำสุดท้ายที่เขาพูดฟังแล้วแม้จะแรงไปหน่อยแต่ก็รับรู้ได้ “เป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน” เขามุ่งตรงไปที่เป้าหมาย ส่วนจะได้รับชัยชนะหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเข้าถึงเป้าหมายพร้อมกับชัยชนะถือว่าประสบความสำเร็จ อาชีพนี้แม้จะถือเป็นกีฬาแต่ก็ถือเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง อาชีพที่มีความท้าทายที่ต้องต่อสู้กับความกลัว
มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในท่ามกลางความกลัว ซึ่งมีหลากหลายประการตามแต่ประสบการณ์ชีวิตที่เคยประสบพบเห็นมา ความกลัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนกลัวความมืด บางคนกลัวความล้มเหลว บางคนกลัวผี บางคนกลัวจะไม่มีคนรักบางคนกลัวความจน ฯลฯ คืนหนึ่งนอนไม่หลับจึงเปิดโทรทัศน์ดูบังเอิญพบรายการสัมภาษณ์สุภาพสตรีท่านหนึ่งมีอาชีพที่ไม่เคยได้ยินคือเป็นโค้ชให้กับผู้บริหารระดับสูงในบริษัทต่างๆ เธอบอกว่าบางครั้งผู้บริหารก็อาจจะเจอทางตันจึงต้องมีผู้ให้คำแนะนำเพื่อจะได้มีไฟในการทำงานต่อไป ผู้บริหารระดับสูงมีความรู้ความสามารถอยู่แล้ว เพียงแต่บางครั้งเหมือนกับอยู่คนละโลกกับผู้ทำงานระดับกลางและระดับล่าง จึงพูดคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง หรือบางทีบริษัทก้าวไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก เมื่อเปลี่ยนไม่ทันบางครั้งอาจจะกลายเป็นความล้มเหลว
ผู้บริหารระดับสูงย่อมจะต้องมีความรู้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่บางครั้งขาดไฟในการทำงานจึงต้องมีผู้จุดไฟแห่งจินตนาการ งานที่ทำจึงแตกต่างจากงานประเภทอื่นๆไม่ใช่ไปแนะนำแต่ไปนั่งฟังเขาเล่าความฝันให้ฟัง ต้องคอยตั้งคำถามเพื่อให้เขาตอบเช่นผู้บริหารท่านหนึ่งอายุห้าสิบแปดปีกำลังจะเกษียณในวันหกสิบปี ทำงานมานานจากตำแหน่งเล็กๆจนสามารถไต่เต้าถึงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง แต่ในช่วงเวลานี้พัฒนางานต่อไปไม่ได้ ได้แต่รักษางานเดิมไว้เพื่อรอเวลาเกษียณ ไฟฝันในการพัฒนากำลังจะมอดดับ วันหนึ่งเขาเชิญไปพบและขอคำปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรดี
หน้าที่โค้ชไม่ได้ทำอะไรมากนั่งสนทนาไปสักพักจึงถามว่า”ถ้าท่านมองย้อนหลังไปสักห้าปีท่านอยากทำอะไรให้แก่องค์กรบ้าง” จากนั้นผู้บริหารท่านนั้นก็เริ่มบรรยายแนวคิดที่อยากทำ พูดไปนานจึงถามว่าใครที่ควรจะทำตามสิ่งที่ท่านคิด ผู้บริหารท่านนั้นจึงบอกว่ามีหลายคน แต่ที่ทำงานได้ดีที่สุดน่าจะเป็นตัวผมเองเพราะมีประสบการณ์มากที่สุดเข้าใจงานมากที่สุด จากนั้นท่านก็เริ่มลงมือทำ กลายเป็นว่าแทนที่จะเกษียณกลับต้องทำงานต่อไปอีกหลายปี แรงฝันในวันใกล้เกษียณพลันกลับมาลุกโซนอีกครั้ง
คำสัมภาษณ์ตอนหนึ่งเธอบอกว่าความกลัวพื้นฐานของมนุษย์นั้นมีอาจจะจำแนกไว้สามประการคือ “กลัวว่าเราไม่ดีพอไม่เก่งพอ กลัวว่าจะไม่มีคนที่รักเราจริง และกลัวว่าจะไม่มีใครรับเข้าพวก” ฟังดูง่ายดี หรือว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอบอกว่าประสบกับความล้มเหลวมาตลอดชีวิต แต่เพราะชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ เปลี่ยนอาชีพมาหลายอย่าง จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่อาชีพปัจจุบัน บางครั้งการให้คำแนะนำอาจจะไม่ได้ผล เพราะไม่ตรงกับความต้องการของเขา แต่อย่าถือว่าเป็นความล้มเหลว แต่ให้คิดเสียใหม่ว่า ไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์
ในพระพุทธศาสนาแสดงไว้ว่าเมื่อมนุษย์ถูกภัยคุกคามตกอยู่ในความกลัวจะหาที่พึ่ง ซึ่งมีวิธีการแตกต่างกัน ดังที่แสดงไว้ในขุททกนิกาย ธรรมบท (25/24/27 ) ความว่า “มนุษย์เป็นอันมากแลถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่าอารามและรุกขเจดีย์ว่าเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งนั้นแลไม่เกษม ที่พึ่งนั้นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้นย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งย่อมเห็นอริยสัจสี่คือทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ความก้าวล่วงทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์แปดอันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ ที่พึ่งนั้นแลเป็นที่พึ่งอันเกษม ที่พึ่งนั้นอุดม เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้นย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
มนุษย์ตกอยู่ภายใต้ความกลัวมาทุกยุคทุกสมัย วิธีแก้ปัญหาเรื่องความกลัวก็แตกต่างกัน ในอดีตมีคนไหว้ภูเขา ไหว้ป่าต้นไม้ ตลอดจนรุกเจดีย์เพื่อหาที่พึ่ง ปัจจุบันยุคสมัยเปลี่ยนไปที่พึ่งของมนุษย์ก็ถูกปรับเปลี่ยนทำให้มีที่พึ่งอื่นๆเกิดขึ้นมากมายเช่นพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง เทพเจ้าต่างๆอีกนับไม่ถ้วน ที่พึ่งเหล่านั้นอาจจะทำให้มนุษย์มีกำลังใจ แต่เป็นที่พึ่งได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น สิ่งที่เป็นที่พึ่งตลอดไปคือตัวเราเอง ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข
ชีวิตและโลกนี้ล้วนมีปัญหา ทุกปัญหาย่อมมีสาเหตุ มนุษย์สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวมนุษย์เอง การแก้ปัญหาต้องใช้ปัญญาและความเพียรพยายามของมนุษย์เอง ท้อได้แต่อย่าถอย ลองพิจารณาดูหากเกิดปัญหาจะเริ่มต้นอย่างไร หากเกิดความกลัวลองพิจารณาวิธีนี้ดู “ความกลัวนั้นคืออะไรเรากลัวอะไร ความกลัวนั้นมาจากสาเหตุอะไร หากหายกลัวแล้วจะเป็นอย่างไร และมีวิธีการอย่างไร” เช่นหากกลัวผี ก็ต้องหาสาเหตุว่าทำไมจึงกลัว ความกลัวผีอาจจะมาจากสาเหตุหลายอย่าง เช่นถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก หรือเคยพบเห็นการหลอกหลอนมาจริงๆ หรือเพราะความมืดหรือยังหาสาเหตุไม่พบเป็นต้น เป้าหมายอยู่ตรงไหนก็เดินเข้าไปตรงนั้น กลัวผีก็ไปที่ป่าช้าไปหาคนตาย
หลวงตาไซเบอร์ฯก่อนอุปสมเป็นคนที่กลัวผีมากคนหนึ่ง พอบวชได้ประมาณหนึ่งเดือนมีคนคุ้นเคยเสียชีวิต หลวงพ่ออุปัชฌาย์สั่งให้ไปนอนเฝ้าศพคนตายที่กำลังเผาบนกองฟอนที่ป่าช้าในวัดนั่นเอง คนสมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผาศพ คนตายจะเผาบนกองฟอนโดยใช้ฟืนก่อขึ้นเรียกว่ากองฟอนที่บริเวณวัดเป็นส่วนที่เรียกว่าป่าช้า เป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุด คนกลัวที่สุดเพราะไม่รู้ว่าเผาศพคนตายมีกี่หมื่นกี่พันคนแล้ว
วันนั้นหลวงตาไวเบอร์ฯเป็นพระบวชใหม่ต้องนอนเฝ้าศพโดยกลางกลดอยู่ข้างๆศพที่กำลังถูกเผา ช่วงแรกอยู่กันสองรูปแต่พอเวลาผ่านไปสักพักอีกรูปหนึ่งเกิดท้องเสียกะทันหันจึงต้องกลับกุฏิ เหลือพระใหม่ที่กลัวผีอยู่รูปเดียว คอยสุมฟืนดูไฟไม่ให้มอดดับ ดึกดื่นเงียบสงัดเสียงแมลงกลางคืนร้องระงม เปลวไฟที่กองฟอนยังลุกโชน แม้จะกลัวแต่เพราะมีแสงสว่างจากเปลวไฟก็ยังพอทนได้
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบนั่งสมาธิพิจารณาความเป็นไปของชีวิตเพื่อให้มองเห็นความเป็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตสักวันหนึ่งเราเองก็ต้องถูกเผาบนกองไฟที่ร้อนระอุ ร่างกายที่เคยใช้สอยก็ต้องเหลือไว้แต่เถ้ากระดูก อีกไม่นานคนก็ลืมเลือนไปเหมือนชีวิตของคนอื่นๆที่หายสาบสูญไปกับกาลเวลา จากนั้นจิตก็สงบไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัว รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกมองไปที่กองไฟ ศพคนตายลุกขึ้นนั่งเหมือนกำลังเพ่งมองจ้องหน้ามาที่พระใหม่ที่พึ่งตื่นจากภวังค์ สายตาจ้องมองกันเหมือนกำลังเอ่ยคำทักทาย ความกลัวที่มีมาตั้งแต่เด็กพลันตื่นขึ้นด้วย ภาษาไทยมีตั้งมากมายแต่ ณ ช่วงเวลานั้นคิดได้คำเดียวคือ “วิ่ง” สั้นแต่มีความหมายชัดเจน
สภาพร่างกายตอนนั้นเพียงขยับก็ลำบากแล้วเพราะนั่งมานานอาการเหน็บชากำลังเกาะกินแข้งขาจึงทำตามที่ใจคิดไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นจึงเริ่มสวดมนต์ ทุกสูตรที่ท่องได้ถูกสวดผิดๆถูกๆ เพื่อขจัดความกลัวที่กำลังแทรกเข้าสู่หัวใจ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ศพนั้นค่อยๆนอนลงเหมือนถูกสะกด ตอนนั้นอาการเหน็บชาหายแล้วเพลือเพียงเหงื่อกาฬที่ไหลอาบร่างโทรมกายเหมือนพึ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ ผ้าสงบอังสะเปียกปอนไปหมด
จึงค่อยๆถือไม้เดินเข้าไปยังกองฟอนค่อยๆเขี่ยซากร่างของศพนั้น และนั่งลงพิจารณาเพราะตอนนั้นหายกลัวแล้ว มันเกินจากความกลัวไปแล้ว พร้อมที่จะสู้ เพราะได้คิดในตอนนั้นว่าคนตายจะมาสู้คนที่ยังมีชีวิตได้อย่างไร ข้อเท็จจริงก็คือท่อนไม้ขนาดใหญ่สองท่อนที่วางพาดไว้บนร่างคนตายนั้น ท่อนหนึ่งวางทับไว้บนหน้าอกและอีกท่อนวางทับไว้ที่บริเวณขา เพื่อให้ศพมีความสมดุลเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน แต่บังเอิญไม้ท่อนบนที่วางบริเวณหน้าอกถูกไฟไหม้จึงหักเป็นสองท่อน ศพที่กำลังถูกไฟเผาจึงเหมือนกับลุกขึ้นนั่ง บังเอิญตอนนั้นสายตาของคนเป็นกับสายตาของคนตายมาบรรจบพบกันพอดี ศพนั้นคืออาจารย์สอนกรรมฐานชั้นเลิศ จากวันนั้นเป็นต้นมาจึงเลิกกลัวผี สิ่งที่ได้รับการปลูกผังมาตั้งแต่เด็กว่าผีน่ากลัวก็พลันมลายหายไปตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ความกลัวคืออะไร สาเหตุมาจากไหน หากแก้แล้วเป็นอย่างไร และมีวิธีการอย่างไร เรากลัวผีเพราะไม่รู้ความจริง เมื่อรู้ความจริงแล้วความกลัวก็หายไปอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกนี้โดยไม่กลัวผีอีก ส่วนวิธีการต้องหาเอาเอง ทางใครทางมัน หากวันนั้นผู้เขียนตัดสินใจวิ่งหนีตามที่ใจคิดและหากร่างกายไม่เป็นเหน็บชาก็คงจะไม่รู้ความจริงและคงกลัวผีมาจนตราบเท่าปัจจุบัน
การดำเนินชีวิตต้องมองภาพข้างหน้าให้ชัด มองให้เห็นภาพอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร จากนั้นดำเนินตามแผนการมุ่งตรงสู่เป้าหมาย หากวิธีการนั้นไม่ประสบผลตามที่คาดหวังไว้ก็ให้เปลี่ยนวิธีการใหม่ วิธีการใหม่อาจจะใช้ได้ผลเพียงแต่อย่าล้มเลิกความปรารถนาต้องมองเป้าหมายให้ชัดเจนเข้าไว้ มุ่งตรงเข้าสู่เป้าหมายตามที่ตั้งปณิธานไว้ “เป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน”
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
19/02/55