เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลางตึก เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก ตามปรกติหากเลยสี่ทุ่มไปแล้วจะไม่รับโทรศัพท์ใครนอกจากเบอร์ที่รู้จักและจะไม่โทรศัพท์หาใคร หากไม่จำเป็นจริงๆ พอรับสายเสียงตามสายเป็นเสียงผู้ชายบอกว่า “ท่านจำผมได้ไหมครับ ผมชื่อ..... เคยไปพักกับท่านเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเป็นคนหลงทาง แต่ตอนนี้ผมอุปสมบทได้เกือบยี่สิบปีแล้ว จำพรรษาที่วัดป่าแห่งหนึ่งที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน หากวันนั้นผมไม่ได้พบท่านป่านนี้คงกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนตายไปแล้ว
ตอนนั้นยังงงๆอยู่คิดไม่ออกจริงๆ แม้จะพูดสนทนาไปก็ยังนึกไม่ออก แต่พอผ่านสักพักภาพของชายชนบทคนหนึ่งแต่งกายมอซอ ผมเผ้ายุ่งเหยิง มาถามหาพระพี่ชายที่บวชอยู่ในวัดนี้ แต่บังเอิญพระพี่ชายเดินทางไปต่างจังหวัด ในฐานะพระที่อยู่ร่วมกุฏิเดียวกันจึงให้การต้อนรับ ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะโดนหลอกหรือไม่ หน้าตาเขาเหมือนโจรมาก
ฟ้ามืดแล้วในเวลาที่ชายหนุ่มคนนั้นเข้ามาขอพักด้วย เห็นว่าเป็นคนมาจากทางบ้านเดียวกันจึงให้ที่พัก แต่สำหรับอาหารเขาบอกว่าอิ่มมาแล้ว จึงได้แต่จัดที่นอนให้ ชายคนนั้นนอนหงายมือก่ายหน้าผากพลิกกลับไปกลับมาเหมือนคนที่กำลังมีความทุกข์หนัก ไม่นานนักเขาก็เข้ามาหาหลวงพี่ก่อนจะชวนสนทนา ถามนั่นถามนี่ วันนั้นหลวงพี่ใจดีจึงนั่งฉันน้ำชาฟังเขาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง รับฟังคนอื่นเล่าอะไรให้ฟังบ้างบางครั้งอาจจะได้รับรู้ถึงความเป็นไปของโลกบ้าง
“สมมุติว่าถ้าเรามีภรรยาอยู่คนหนึ่งอยู่กินด้วยกันมาหลายปีจนมีลูกด้วยกัน อยู่มาวันหนึ่งภรรยาเกิดหนีตามชายชู้ซึ่งก็คือเพื่อนรักของเราเอง หากเป็นหลวงพี่จะทำอย่างไรครับ” ชายคนนั้นเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ คำถามนี้ตอบยากหากใครไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรงคงตอบไม่ได้ จึงต้องเลี่ยงไปใช้วิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา หมายถึงปัญหาที่จะต้องย้อนถามแล้วจึงแก้ จึงบอกว่า “ถ้าเป็นโยมจะแก้ปัญหานี้อย่างไร” คนถามเลยต้องกลายเป็นคนตอบเสียเอง
“หากไม่เป็นการรบกวนเวลามากเกินไปผมขอเล่าเรื่องส่วนตัวให้หลวงพี่ฟังบ้างจะว่าอะไรหรือไม่” หลวงพี่หันไปมองนาฬิกาเห็นว่ายังไม่ดึกมากนักจึงอนุญาต
เขาเริ่มเล่าเรื่องอย่างช้าๆว่า “ผมกำลังตามหาชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ชายเป็นเพื่อนรักของผมเอง ส่วนหญิงเป็นภรรยาผมเอง ทั้งคู่พากันหนีจากบ้านมานานนับเดือนแล้ว เพื่อนบ้านบอกว่าทั้งคู่หนีตามกันมาทำงานที่กรุงเทพฯ ผมพยายามเดินทางไปในที่ที่คิดว่าเขาทั้งสองจะทำงาน แต่ก็ไม่พบหน้าทั้งคู่เลย มีเพียงคนเคยเห็นทั้งสองทำงานด้วยกันที่ร้านทำอิฐบล็อกแห่งหนึ่ง แต่เมื่อผมตามไปก็ไม่พบแล้ว ผมจำได้ว่ามีพี่ชายเคยบวชเรียนอยู่วัดนี้จึงกะว่ามาเยี่ยมและขอพักพาอาศัย แต่บังเอิญว่าพระพี่ชายไปต่างจังหวัด จนกระทั่งมาพบหลวงพี่นี่แหละครับ
หลวงพี่ค่อยๆเอ่ยถามว่า “เมื่อพบชายหญิงคู่นั้น โยมจะทำอย่างไร”
ชายคนนั้นตอบว่า “ผมก็ยังคิดไม่ออกครับ คงต้องสอบถามความจริงก่อนว่าทำไมจึงทำเรื่องอย่างนี้ ต่อไปจะทำอย่างไร หากพูดกันไม่รู้เรื่องก็อาจถึงขั้นต้องทำร้ายกัน เมียทั้งคนนะครับ ลูกผู้ชายเรื่องอื่นๆพอยอมกันได้แต่เรื่องผู้หญิงยอมกันไม่ได้หรอกครับ หากเป็นเมื่อเดือนก่อนผมกะจะฆ่าทั้งคู่ให้หายแค้นเลยนะครับ” อารมณ์เขาพลุ่งพล่านขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำเหมือนกำลังจะร้องให้ สักพักก็เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบเหมือนกับหมดเรื่องที่เล่าแล้ว
ฟังน้ำเสียงแล้วคงเย็นลงมากแล้ว จึงบอกว่า “ลองคิดดูบางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก เขาคนนั้นหากเป็นเนื้อคู่เราจริงถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกันจนได้ แต่ถ้าไม่ใช่แม้จะอยู่ร่วมกันสักวันหนึ่งก็ต้องเลิกร้างกันไป โยมไม่เห็นดารานักแสดงหรือ เห็นประกาศว่ารักจริงปานจะกลืนกิน จัดงานแต่งงานใหญ่โตมโหฬาร แต่พอผ่านไปไม่นานก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ไปมีคนใหม่ มนุษย์เราอยู่กันด้วยความรักและความเข้าใจเป็นเบื้องต้น มีพุทธภาษิตเกี่ยวกับความรักความโศกในขุททกนิกาย ธรรมบท(25/26/31) ว่า “ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก ภัยย่อมเกิดแต่ของที่รัก ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วจากของที่รัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน
ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้ว จากความรัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน
ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดีภัยย่อมเกิดแต่ความยินดี ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ว จากความยินดี ภัยจักมีแต่ที่ไหน
ความโศกย่อมเกิดแต่กาม ภัยย่อมเกิดแต่กามความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วจากกาม ภัยจักมีแต่ที่ไหน
ความโศกย่อมเกิดแต่ตัณหา ภัยย่อมเกิดแต่ตัณหาความโศก ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้วจากตัณหา ภัยจักมีแต่ที่ไหน
ความโศกเกิดจากความรัก ความกลัว(ภัย)ก็เกิดจากความรัก ผู้พ้นจากความรักจากความยินดีในความรัก ความโศกก็ไม่มี” แต่คนส่วนมากมักจะจำจนติดปากว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” ฟังแล้วเข้าใจง่ายดี บังเอิญตอนนั้นมีหนังสือแปลธรรมบท ภาคหกอยู่ใกล้ๆจึงเปิดอ่านให้ชายหนุ่มคนนั้นฟังได้ครบทุกบท
สุภาษิตจีนบอกว่า “แต่งภรรยาแต่งเพราะคุณธรรมมิใช่แต่งเพราะเสน่หา คบเพื่อนคบที่จิตใจหาใช่เงินตรา” เขาทั้งคู่คงเป็นเนื้อคู่กัน ไม่ใช่คู่ของเรา
"ผมแต่งงานมาอยู่ด้วยกันจนมีลูกชายสองคน เธอไม่น่าทำอย่างนั้น อีกอย่างผู้ชายคนนั้นก็เป็นเพื่อนรักของผมด้วย เมื่อคนที่เคยรักทั้งสองกระทำเรื่องแบบนี้ สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นการเหยียดหยามเกียรติศักดิ์อย่างรุนแรงคงยอมกันไม่ได้" ชายหนุ่มยังคงเจ็บซ้ำน้ำใจ
หากโยมลองบวชสงบสติอารมณ์สักพรรษาอะไรต่างๆคงดีขึ้น อาตมาเป็นเจ้าภาพบวชให้เองพร้อมเมื่อไหร่มาหาได้เลย ตอนนี้ดึกมากแล้วขอเชิญโยมพักผ่อนให้สบายเถิด คนเรามักจะจำเรื่องที่ควรลืม และลืมเรื่องที่ควรจำ สุภาษิตในหนังสือกำลังภายในจีนบอกว่า “บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” แต่อาตมาเปลี่ยนใหม่เป็น “บุญคุณต้องทดแทน แต่แค้นไม่ต้องชำระ” หากเปลี่ยนความแค้นเป็นความรักความสงสารได้ ชีวิตก็มีทางเดินมากขึ้น จะไปมัวจมอยู่กับอดีตทำไม เรื่องก็ผ่านพ้นไปแล้ว หากหญิงคนนั้นกลับมาโยมยังจะรับนับถือเขาในฐานะภรรยาได้อยู่หรือ หากให้อภัยได้ก็ควรให้อภัย การให้อภัยเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่” วันนั้นหลวงตาในฐานะที่เป็นพระที่บวชไม่นานเทศนายาวค่อนข้างยาว และเทศน์ต่อมาอีกหลายวัน จนกระทั่งชายหนุ่มคนนั้นลาจากไป อีกสองสามปีต่อมาทราบข่าวชายคนนั้นอุปสมบทแล้ว ได้เห็นหน้าครั้งเดียวแต่ไม่ได้สนทนากัน เพียงทราบข่าวว่าท่านอุปสมบทก็ถือเป็นข่าวดีแล้ว
เกือบยี่สิบปีแล้วไม่เคยได้ทราบข่าวหรือเห็นพระภิกษุรูปนั้นอีกเลย ประเทศไทยก็ไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลอะไรมากนัก แต่ทำไมพระสงฆ์รูปหนึ่งเหมือนหายไปจากโลกนี้เฉยๆ คนทั้งคนมิใช่ควันจะได้หายเข้ากลีบเมฆไปเลย
จนกระทั่งกลางดึกของคืนวันหนึ่งจึงได้ทราบข่าวของอดีตชายหนุ่มคนนั้น สนทนาไปได้สักพักเหมือนท่านจะรู้ว่าหลวงตากำลังจะถามอะไร ท่านรีบตอบก่อนว่า “เขาทั้งสองอยู่ยังกินด้วยกันครับ ผมอุปสมบทได้สักหนึ่งพรรษา ทั้งคู่มาเล่าความจริงให้ฟังและขอขมาผม ตอนนั้นหากไม่อยู่ในผ้าเหลืองผมก็คงทำใจลำบาก แต่ตอนนั้นผมพลันนึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์ที่บอกว่า“การให้อภัยเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่” ผมจึงให้อภัยพร้อมทั้งยกบ้านและไร่อีกส่วนหนึ่งให้เขา ส่วนลูกชายผมนำไปฝากให้ยายเลี้ยง ตอนนี้อายุใกล้ยี่สิบปีแล้ว ผมจะพาลูกชายมาบวชกับท่าน ส่วนผมขอใช้ชีวิตตามป่าตามเขาไปเรื่อยๆ ไม่มีที่อยู่ถาวรหรอกครับเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ ชีวิตเบาสบายมีความสุขและสงบดี นี่ผมก็ยืมโทรศัพท์เขานะครับผมได้เบอร์โทรศัพท์ท่านอาจารย์จากเว็บไซต์ที่เพื่อนพระภิกษุรูปหนึ่งเปิดให้ดูครับ ไม่ต้องโทรหาผม เพราะผมไม่มีโทรศัพท์ ก่อนจะจบการสนทนาพระภิกษุรูปนั้นบอกว่า “ตอนนั้นผมรักผิดคน แต่ตอนนี้ผมเดินถูกทางแล้ว”
เรื่องราวของความรักที่ไม่สมหวัง ผิดหวัง ถึงขั้นต้องเข่นฆ่ากันมีให้เห็นตามสื่อแทบทุกวัน ความรักเป็นสิ่งที่ดีหากรักไม่ผิดที่ แต่หากรักผิดที่ชีวีก็คงต้องยุ่งยาก แก้ปัญหาเรื่องความรักเป็นเรื่องที่หนักแท้ ชายหนุ่มในอดีตคนนั้นเลือกเดินบนเส้นทางที่สงบสันติสุขตามรอยบาทพระศาสดา แม้ท่านจะรักผิดที่ แต่ทำดีถูกทาง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/02/55