มีใครไม่รู้เคยบอกไว้ว่า “ชีวิตคือการเดินทาง” แม้จะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่การเดินทางก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ใกล้บ้างไกลบ้างไปถึงจุดหมายบ้างไปไม่ถึงบ้าง แต่ทว่าในที่สุดชีวิตก็ต้องเดินทางไปยังจุดหมายเดียวกันเหมือนกันทุกชีวิตคือความตาย เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น การเดินทางสั้นๆอาจจะพานพบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือการเดินไกลอาจจะไม่ได้พบกับเรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไรเลยก็ได้ บางครั้งการเดินทางอาจจะมีผลต่อชีวิตทั้งชีวิต
วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเดินทางไปร่วมงานทอดผ้าป่าที่มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย โคราชได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณพระเทพรัตนดิลก เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา(ธ)เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ ดร.สุธีรา วิจิตรานนท์ ผู้ร่วมริเริ่มก่อตั้งมหาปชาดีเถรีวิทยาลัยฯ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พระเมธีธรรมสาร อดีตผู้อำนวยการมหาปชาบดีเถรีวิทยาลัยก็เมตตาเดินทางมาร่วมงานด้วย อีกทั้งนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ชาวบ้านและญาติโยมอื่นๆอีกหลายท่าน งานผ่านไปด้วยดีมีผู้มาร่วมงานพอสมควรและได้ปัจจัยใกล้เคียงตามวัตถุประสงค์ จะหาเพิ่มอีกคงไม่มากนัก แม่ชีทอดผ้าป่าซื้อยานพาหนะเพื่อใช้ในการเดินทาง
เสร็จงานแล้วนั่งสนทนากับแม่ชีและญาติโยมอีกหลายท่าน มีแม่ชีที่เป็นนักศึกษาของวิทยาลัยท่านหนึ่งเข้ามาหาและบอกว่า “แม่ชีจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่นครเวียงจันทน์ แต่ยังมีเงินค่าเดินทางไม่พอ” พูดจบก็นั่งนิ่ง เห็นหน้าแล้วจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้แม่ชีท่านนี้เข้าอบรมฝึกอาชีพระยะสั้นหลักสูตรเย็บปักถักร้อย จึงได้บอกแม่ชีไปว่าให้ถักหมวกไหมพรมได้กี่อันก็ได้จะรับซื้อหมด จึงถามว่า “ถักหมวกไหมพรมได้กี่อันให้เอามาจะรับซื้อให้หมด”
ผ่านไปสักสิบนาทีแม่ชีท่านเดิมกลับมาอีกและนำถุงขนาดใหญ่มาด้วย ด้านในบรรจุไหมพรมประมาณสามสิบอัน จึงบอกให้แม่ชีคิดราคาซึ่งรวมแล้วต้องจ่ายเป็นเงินหลายพันบาท แม่ชีจากเวียงจันทน์บอกว่า "แม่ชีถักได้วันละสิบอัน" นัยตาปรือเหมือนกำลังอยากจะหลับ ตอนนั้นยังคิดไม่ออกว่าจะนำหมวกไหมพรมไปทำอะไร ตั้งใจไว้เบื้องต้นในตอนนั้นว่าจะนำไปถวายพระภิกษุสามเณรเพื่อป้องกันความหนาว แต่กรุงเทพฯไม่หนาวแล้ว อาทิตย์หน้าหากมีเวลาก็คิดจะเดินทางไปเชียงใหม่นำหมวกไหมพรมเหล่านี้ไปถวายพระภิกษุสามเณรที่กำลังประสบกับภัยหนาว ถวายสิ่งของที่ผู้รับมีความต้องการย่อมได้บุญมาก
เมื่อเห็นเรารับซื้อผลิตภัณฑ์จากฝีมือของแม่ชีจริง จึงมีแม่ชีอีกหลายท่านนำเสนอสินค้าที่พึ่งผ่านการฝึกอบรมเช่นดอกไม้ญี่ปุ่นทำจากดินเหนียว กระเป๋าผ้า ตะกร้าไม้ ผ้าพันคอ สบู่ขิง น้ำยาล้างจาน เป็นต้น ขนขึ้นรถตู้จนเต็ม ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร เป้าหมายรองเริ่มแทรกเข้ามาหากไม่ได้เดินทางไปเชียงใหม่ก็จะนำสินค้าเหล่านี้มาขายเป็นสินค้าโอทอปในงานประจำปีวัดมัชฌันติการามในช่วงวันที่ 28 กพ.-5 มีค. 55 ที่จะถึงนี้ ให้แม่ชีเป็นคนขายนำเงินเป็นทุนการศึกษานักศึกษามหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย
ตอนนั้นคิดถึงนิทานอีสบเรื่องหนึ่งขึ้นมาเคยอ่านนานมาแล้วแต่ยังจำได้คือ “ม้ากับลาแบกของ” เรื่องมีอยู่ว่า ชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงม้าและลาไว้ใช้งาน ตามปรกติหากเดินทางก็จะบรรทุกสิ่งของบนหลังลา ส่วนชาวนาก็จะนั่งบนหลังม้า ม้าเดินนำหน้า ลาเดินตามหลัง วันหนึ่งชาวนามีสิ่งของมากบรรทุกเต็มหลังลาแล้ว ก็ยังเหลือจึงบรรทุกบนหลังม้าอีก ตัวเองเดินตามหลังสัตว์ทั้งสองนั้นไป
เนื่องจากสินค้าบนหลังลามีจำนวนมากกว่าทุกครั้ง แต่บนหลังม้าไม่ได้บันทุกมากนัก ม้าจึงเดินเหินได้สะดวก ลาเดินไปบ่นไป แต่รู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆส่วนม้ายังเดินเหินเป็นปรกติ ลาจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “นี่เจ้าม้าเพื่อนรัก ช่วยแบ่งสิ่งของจากหลังข้าที ข้ารู้สึกหนักจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว”
เมื่อม้าได้ยินจึงเอ่ยปากว่า “ช่วยไม่ได้เอ็งอยากเกิดมาเป็นลาทำไม ลาก็ก็ต้องแบกสิ ส่วนข้าเป็นม้ามีหน้าที่พาเจ้านายไป แต่วันนี้ข้าก็มีสิ่งของบนหลังเหมือนกัน” จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆนำหน้าไปโดยไม่ได้สนใจลาที่เดินเหงื่อแตก ลาเหนื่อยและหนักจริง เดินไปได้สักพักก็ล้มลงและขาดใจตาย
ชาวนาผู้เป็นเจ้าของจึงต้องย้ายสินค้ามาไว้บนหลังม้าแทน และยังนำซากร่างที่ไร้ชีวิตของลาตัวนั้นให้ม้าลากไปด้วย เจ้าม้าจึงต้องแบกสิ่งของที่หนักเป็นสองเท่า ได้ยินม้าบ่นเบาๆในเวลาที่เหงื่อไหลโทรมกายว่า “ถ้าข้าช่วยลาแบกของ ก็คงไม่ต้องแบกสิ่งของหนักขนาดนี้” เสียดายที่ม้าคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว
ในชีวิตมนุษย์เคยมีไหมที่มีคนมาขอความช่วยเหลือทั้งๆที่เรามีพอที่จะช่วย แต่ด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่ยอมช่วย ในที่สุดก็ต้องแบกรับภาระที่ตนเองไม่ได้ก่อ หากช่วยเสียตั้งแต่แรกผลสรุปอาจจะต้องเปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง
เส้นทางเดินทางกลับต้องผ่านกลางดง แต่ก่อนที่จะถึงกลางดงมีใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “อยากได้น้ำข้าวโพด เขาว่าที่ไร่แห่งนี้อร่อยมาก” คนขับรถจึงแวะเข้าไปที่ร้านข้างทาง ที่ร้านนั้นคนเยอะมากจะซื้อต้องรอคิวและซื้อได้คนละหนึ่งกล่องเท่านั้น
คนขับบอกว่าที่ร้านแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลแต่ต้องเข้าไปข้างในมีทั้งน้ำองุ่น น้ำข้าวโพด คุณภาพทัดเทียมกัน จะลองแวะไปดูหรือไม่ เมื่อทุกคนตกลงจึงเลิกเข้าคิวซื้อน้ำข้าวโพดเปลี่ยนไปซื้อน้ำองุ่นแทน รถจึงออกนอกเส้นทางใหญ่เข้าสู่ทางเล็กมุ่งหน้าไปยังสวนองุ่น ไร่องุ่นมีเถาระโยงระยางกว้างสุดหูสุดตา แผนกบริการนำน้ำองุ่นมาให้ชิมฟรี นับเป็นการต้อนรับและส่งเสริมการขายที่ดียิ่ง ดื่มฟรีแล้วไม่สนับสนุนสินค้าเลยดูจะใจจืดใจดำมากไปหน่อย จึงได้ซื้อน้ำข้าวโพดและน้ำองุ่นหลายขวด
ยืนเล่นที่ริมรั้วไร่องุ่นก็พลันคิดถึงนิทานอีสบอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา “สุนัขจิ้งจอกกับองุ่น” สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นเห็นพวงองุ่นแล้วคิดว่ามันคงหวานจึงพยายามกระโดดขึ้นไปยังต้นองุ่นเพื่อหวังจะได้กินผงองุ่น แต่ทำไม่สำเร็จเพราะองุ่นอยู่สูงเกินไป เมื่อทำไม่สำเร็จจึงปลอบใจตัวเองว่า “องุ่นพวงนี้รสเปรี้ยวเกินไป”จากนั้นก็เดินก้มหน้าจากไป
งานบางอย่างแม้พยายามแล้วแต่ยังทำไม่สำเร็จก็ต้องวางไว้ก่อนแล้วหันไปทำอย่างอื่น แม้ว่าเป้าหมายในการทำงานจะเป็นสิ่งสำคัญ วิธีการก็มีความสำคัญเหมือนกัน มีคนเคยบอกว่าการที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้นอาจจะสรุปได้สั้นว่า “ได้ตัวอย่างที่ดี มีวิธีปฏิบัติ จ้องกำจัดอุปสัค ปลูกความรักไม่เสื่อมคลาย ยอมพลีกายบูชางาน(ความถูกต้อง)”
ขออนุญาตนำไปอธิบายขยายความในวันต่อๆไปน่าจะเหมาะสมกว่า วันนี้เขียนมามากแล้ว สรุปว่า “หากพอจะช่วยเหลือใครได้ก็ควรช่วย หรือหากพยายามแล้วแต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จก็ต้องถือคติของสุนัขจิ้งจอกได้ต้นองุ่นตัวนั้น”
ชีวิตยังคงต้องเดินทางยังคงต้องพบพานกับสิ่งต่างๆอีกมากมายหลายประการ ในวันนี้เป็นเศษเสี้ยวของการเดินทาง เหมือนการเดินออกนอกเส้นทางเดิม แม้จะคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปบ้าง แต่สักวันหนึ่งก็ต้องย้อนกลับเข้าสู่ทางเดินของชีวิตที่แท้จริง แม้จะไม่อยากเดินแต่ก็ก็ต้องเดินไปสู่จุดหมายไม่วันใดก็วันหนึ่ง การเลี้ยวออกนอกทางในวันนั้นจึงได้ดื่มน้ำองุ่นและน้ำข้าวโพด หากยึดมั่นที่ร้านเดิมเส้นทางเดิมวันนี้คงยังไม่ได้ดื่มน้ำข้าวโพดนั้น บางครั้งการออกนอกเส้นทางก็เป็นทางเลือกในการเดินทางอย่างหนึ่ง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
06/02/55
หมายเหตุ: ภาพถ่ายฝีมือนักศึกษามหาปชาบดีฯ เจ้าของกล้องเขาให้นั่งเฉยๆ
เยี่ยมมหาปชาบดีเถรีวิทยาลัยได้ที่
http://www.pachapati.mbu.ac.th/
และชมภาพบรรยาศงานผ้าป่าได้ที่
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.224170777674098.54039.131638203594023&type=1