เว็บไซต์ไซเบอร์วนารามดอทเน็ตปรากฏตัวต่อโลกไซเบอร์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2553 นำเสนอเรื่องแรกคือ “การศึกษาธรรมเบื้องต้น” จากนั้นจึงเป็นเรื่องสั้นๆที่เขียนขึ้นจากเหตุการณ์ตามยุคสมัยบ้าง หรือเป็นบทความขนาดยาวที่เคยเขียนไว้ในอดีต นำมาผสมผสานกัน ตั้งเป้าไว้ว่าจะพยายามเขียนวันละหนึ่งเรื่อง แต่ความพยายามไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเขียนไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่มีบ้างบางวันเขียนได้หลายเรื่อง จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ไซเบอร์วนารามก็มีอายุครบสองปี เป็นเด็กที่กำลังหัดเดิน
ปีนี้มีคนใจดีเมตตาจ่ายค่าเช่าพื้นที่ให้อีกหนึ่งปี เนื่องจากการทำเว็บไซต์ต้องเช่าพื้นที่ในโลกไซเบอร์เป็นเหมือนบ้านเลขที่บ่งบอกถึงสถานภาพว่ามีที่อยู่จริง สามารถตรวจสอบได้ หากเกิดกรณีสงสัยหรือเป็นเหตุที่อาจจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ช่วงสองสามปีมานี้กฎหมายเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตมีโทษค่อนข้างแรง หลายเว็บไซต์พึ่งเปิดตัวได้ไม่นานก็ต้องถูกปิดตัวลงโดยคำสั่งของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ ซึ่งมีสิทธิสั่งปิดทันทีโดยไม่ต้องแจ้งข่าวให้เจ้าของหรือผู้ดูแลเว็บไซต์รู้ล่วงหน้า บางเว็บอยู่ดีๆก็มีตัวอักษรสีแดง “ขอภัยเว็บนี้ไม่เหมาะสม......” จากนั้นก็ทำอะไรต่อไม่ได้ ถูกปิดตัวไปโดยปริยาย แม้ว่าเว็บฟรีจะมีแจกแต่ทว่าของฟรีย่อมมีอะไรที่แอบแฝง จึงต้องจ่ายค่าเช่าเองสบายใจกว่า เริ่มต้นทำเว็บไซต์เล่นๆ แต่เล่นจริงๆ ทำงานเล่นๆย่อมมีความเพลิดเพลินอยู่ด้วย ทำแล้วมีความสุข ใครจะนำไปใช้ก็ได้ "ทำเล่นๆ แต่เล่นจริงๆ"
การเปิดเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้วมีพื้นที่ มีชื่อเว็บที่ไม่ซ้ำกับเว็บของคนอื่น ก็สามารถมีเว็บไซต์ในนามขององค์กรหรือเว็บไซต์ส่วนตัวได้แล้ว ส่วนผู้ดูแลนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ถ้าไม่มีคนคอยดูแลปรับปรุงข้อมูลอยู่เรื่อยๆไม่นานก็จอด เพราะมีแต่เรื่องเก่า เข้ามาเมื่อไหร่ก็เห็นแต่เรื่องเดิม เข้ามาครั้งสองครั้งก็โบกมือลากันแล้ว ไปที่อื่นดีกว่าประมาณนั้น เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไว ใจคนก็เปลี่ยนแปลงเร็ว
ผู้เขียนเป็นทั้งเจ้าของ เป็นเว็บมาสเตอร์ เป็นคนเขียน ทั้งหลายทั้งปวงดำเนินการโดยบุคคลคนเดียว อาจมีบ้างในส่วนของระบบที่จะต้องพึ่งพาผู้ชำนาญการพิเศษ แต่โดยองค์รวมยังคงทำงานคนเดียว ทั้งถ่ายภาพเอง เขียนเรื่องเอง นำเรื่องลงเผยแผ่เอง ตอบคำถามเอง แก้ปัญหาเอง บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ยังทำงานต่อไป แม้ว่าในช่วงหลังๆเรื่องราวต่างๆที่นำมาเขียนจะเหลือน้อยลง แต่ก็ยังคงแสวงหาเรื่องราวต่างๆต่อไป คลังข้อมูล ยังคงเป็นพระไตรปิฎก ซึ่งนำมาใส่ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์สงสัยเมื่อไหร่เปิดดูได้ทันที นอกจากนั้นยังมีฉบับที่เป็นหนังสืออีกสามฉบับอยู่ในห้องสมุดข้างๆกุฏิเดินไปสืบค้นได้ทันทีที่มีข้อสงสัย
ในพระพุทธศาสนาได้แสดงคุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมายเรียกว่า “อิทธิบาท” ดังที่แสดงไว้ในทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค(11/231/233)มีสี่ประการคือ(1) ฉันทะ ความพอใจคือความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป (2) วิริยะ ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย (3) จิตตะ ความคิด คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป (4) วิมังสา ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น
อ่านแล้วหากเข้าใจก็นำไปใช้ได้เลย แต่หากจำยากก็มีผู้แปลความใหม่ทำให้จดจำได้ง่ายขึ้นว่า “เต็มใจทำแข็งใจทำ ตั้งใจทำและเข้าใจทำ” การทำเว็บไซต์หากไม่เต็มใจทำ ถึงจะทำได้ก็อยู่ไม่นาน เพราะไม่ได้เริ่มต้นจากความรักความพอใจ โอกาสของคนอยู่ที่ความสนใจ บางวันแม้จะคิดอะไรไม่ออกก็นั่งเคาะแป้นพิมพ์ไปเรื่อยๆ สักประเดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่อง ปรับตรงนั้นเสริมตรงนี้อีกนิด แก้คำผิดอีกหน่อยก็กลายเป็นบทความ หาภาพประกอบมาใส่ก็ได้เรื่อง หากไม่แข็งใจทำ งานนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ส่วนตั้งใจทำนั้นได้วางกรอบไว้แต่ต้นแล้วว่าจะเขียนเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรม แม้บางเรื่องจะออกจากกรอบไปบ้างแต่ก็ยังมีกลิ่นของสองเรื่องนี้เป็นแกนสำคัญ
ส่วนคำว่า “เข้าใจทำ” ทำยากที่สุดเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องหลายเรื่องทั้งด้านเทคนิควิชาการอีกหลายอย่างต้องศึกษาหาความรู้ค้นคว้าจากสรรพสารเท่าที่จะหาได้ บางครั้งเวลาเกิดปัญหาก็ต้องหาทางแก้ไขเอาเอง แม้ในวันนี้เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามก็ยังทำความเข้าใจไม่ตลอด เพราะเว็บไซต์ไม่โด่งดัง จำกัดอยู่ในวงแคบๆ ต้องศึกษาอีกมาก ทางแห่งความสำเร็จนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับงานทุกอย่าง หากจะจำเป็นภาษาบาลีก็จะเป็นดังนี้ “ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา” แปลเป็นไทยสั้นๆ “พอใจ ขยัน เอาใจใส่ ตรวจสอบ” หรือหากจะทำให้จดจำง่ายก็จะเป็น “เต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ เข้าใจทำ” ถนัดจำอันไหนก็ใช้อันนั้น ความหมายเดียวกัน
หากจำไม่หมดก็จดเอาไว้ เคยท่องกลอนสมัยเป็นนักเรียน ครูบอกว่า "จำขึ้นใจในวิชาดีกว่าจด จำไม่หมดจดไว้ดูเป็นครูสอน จดและจำทำวิชาให้ถาวร เป็นอากรเกียรติคุณนุกูลการ" แม้ทุกวันนี้ก็ยังจำได้ ความจำยังเป็นส่วนสำคัญในการศึกษา หากไม่ท่องแล้วความจำจะมาจากไหน หากไม่มีความทรงจำจะต่อยอดองค์ความรู้ใหม่ได้อย่างไร
วันนี้เว็บไซต์ไซเบอร์วนารามยังคงเดินหน้าไปอย่างช้าๆ ตามกำลังของคนเขียน ไม่เร่งสุดแรง ไม่แซงสุดขั้ว สองปีทั้งเขียนและรวบรวมได้ 695 เรื่องมีคนเข้ามาดู 747119 ครั้ง(นับขณะที่กำลังเขียน 3 กุมภาพันธ์ 55 เวลา 11.00 น.) หักลบเว็บมาสเตอร์เข้าทำงานสักแสนครั้งก็ยังเหลืออีกหกแสนครั้ง แม้จะไม่มากแต่ก็ยินดีเท่าที่ได้ พอใจเท่าที่มี ในวาระที่ครบรอบสองปีของการก่อเกิด และกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่สาม ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่คอยติดตามและให้คำติชม ขึ้นปีที่สามวัตถุประสงค์ยังคงเดิม “เพื่อพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรม” แต่ได้เพิ่มวัตถุประสงค์อีกข้อหนึ่งเข้ามาด้วยคือ “บันทึกบนทางผ่าน” เป็นการจดบันทึกการเดินทางไปในที่ต่างๆจึงมีเนื้อหาขยายออกถึงเรื่องของ “ขนบธรรมเนียม ประเพณี คติความเชื่อ ศาสนาปรัชญาฯลฯ” อย่างน้อยก็จดบันทึกไว้กันลืม เพราะเมื่ออายุมากขึ้นความจำจะสั้นลง แต่ความเต็มใจและความตั้งใจกลับยาวขึ้น
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
3/02/55