บางครั้งคนเรามักจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หากร่ำรวยแต่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงมีโรคภัยประจำตัว หรือบางคนยากจนแต่มีความสุขเพราะเขาอยู่กันตามสมควรแก่ฐานะ ในความต้องการของมนุษย์นั้นอยากร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองมากมายพร้อมทั้งมีความสุขคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ทางเลือกของมนุษย์มักจะเดินสวนทางกันเสมอ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง รวยแต่ไม่มีความสุข หรือมีความสุขแต่ไม่รวย ความสุขเป็นเรื่องของความพอใจของแต่ละคน จะมีความสุขหรือทุกข์แทนกันไม่ได้
มีเพื่อนพระภิกษุรุ่นพี่รูปหนึ่งเรียนจบปริญญามาจากต่างประเทศ แต่ไม่ยอมเข้าทำงานที่ไหน แม้จะมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งมาชวนท่านก็ยังไม่ยอมไป บางแห่งเสนอตำแหน่งให้พร้อมทั้งให้เงินเดือนหลายหมื่นท่านก็ยังไม่ยินยอมไป ถามว่าเพราะเหตุใด ท่านตอบสั้นๆว่า “ผมพิจารณาดูโดยละเอียดแล้ว การทำงานแบบนั้นสำหรับผมแล้วไม่น่าจะมีความสุข” เมื่อถามว่า “แล้วความสุขของท่านคืออะไร”
ท่านบอกว่า “ผมนั่งวาดภาพแต่งเติมเพิ่มสีสันให้สวยสดงดงามตามจินตนาการ พอวาดเสร็จก็นำไปถวายครูบาอาจารย์ที่ท่านอยากได้ ผมได้เห็นภาพที่ผมวาดปรากฏตามวัดต่างๆก็มีความสุขแล้ว ที่ผมวาดภาพนอกจากจะเน้นที่พระพุทธพุทธรูปแล้ว ยังมีภาพทิวทัศน์ประเภทภูเขา ป่าไม้ลำธาร อันบ่งบอกถึงความสุข บางภาพผมวาดอยู่นานกว่าหนึ่งเดือนก็ยังไม่เสร็จ แต่ก็ไม่เป็นไร ผมยังวาดไปเรื่อยๆ ความสุขอยู่ที่ได้วาดภาพ จะสำเร็จแล้วงดงามหรือไม่ผมไม่ได้คำนึงถึง แต่ในขณะที่ผมวาดนั้นผมรู้สึกว่ามีความสุขมากที่สุด ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่แปลกหากเราเรียกหามัน มันจะหลบซ่อน แต่หากเราวางเฉยไม่สนใจ ความสุขจะมาเยือน ความสุขซ่อนอยู่ภายใจเราเอง ไม่ใช่อยู่ที่อื่น ความทุกข์ก็เฉกเช่นเดียวกันมักจะมาหาตอนที่เราไม่ได้เชิญ ความสุขหรือความทุกข์เป็นอารมณ์ของจิตอยู่ที่ใจใช่ที่อื่น”
อีกอย่างหนึ่งหากว่างจากภารกิจผมจะอ่านหนังสือและเขียนหนังสือ ตอนนี้เขียนไว้หลายเล่มแล้วแต่ยังไม่ได้พิมพ์ขายที่ไหน มีบ้างที่พิมพ์แจกในงานศพหรือในงานกฐินผ้าป่า เป็นหนังสือเล่มเล็กๆอ่านจบในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ผมใช้เวลาคิดและเขียนหลายเดือน ความสุขในปัจจุบันของผมจึงอยู่ที่งานอดิเรกสามอย่างนี่เองคือการวาดภาพและการอ่านและเขียนหนังสือ ส่วนงานอื่นๆก็ยังคงทำเป็นปรกติ ส่วนมากจะเน้นที่การอบรมกรรมฐานเป็นช่วงเวลาติดต่อกันหลายวัน หรือไม่ก็สอนพิเศษตามโรงเรียนต่างๆเน้นที่ภาษาอังกฤษและพระพุทธศาสนา
จำได้ว่าครั้งหนึ่งที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ พระภิกษุรูปนั้นเดินทางไปภาคเหนือแต่ไปถึงเวลากลางคืนดึกมากแล้ว หาที่พักไม่ได้แต่ทราบว่าผู้เขียนพักอยู่ที่กุฏิหลังไหน ท่านแวะเข้าไปถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปนอนคลุมโปงโดยใช้เพียงผ้าจีวรห่มคลุมกาย อากาศกลางเดือนมกราคมปีนั้นกำลังหนาวเย็น ท่านนอนหลับจนกระทั่งรุ่งเช้า ผู้เขียนตื่นขึ้นมาเห็นใครมานอนหลับคิดว่าเป็นสามเณรจึงใช้มือเขย่าอย่างแรงและบอกให้ตื่นได้แล้ว มานอนอะไรอยู่ที่นี่ได้เวลาฉันภัตตาหารเช้าแล้ว พอท่านเลิกผ้าจีวรออกมาก็ต้องสะดุ้ง เพราะที่ได้เห็นกลายเป็นพระภิกษุรูปนั้นเป็นเปรียญธรรมเก้าประโยค มีชื่อเสียงเลื่องลือในวงการคณะสงฆ์พอสมควร ตอนนั้นท่านพึ่งเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ เดินทางมาเมืองไทยและตั้งใจมาภาคเหนือโดยไม่ได้บอกใคร แต่ท่านทราบมาก่อนว่าผู้เขียนพักอยู่ที่กุฏิหลังนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่าตั้งใจมากราบสักการะหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง ซึ่งตอนนั้นหลวงพ่อพักอยู่ที่กุฏิใกล้กัน สมณศักดิ์ของหลวงพ่อเจ้าอาวาสตอนนั้นคือ “พระธรรมดิลก” ก่อนจะได้เลื่อนเป็น “พระพุทธพจนวรภรณ์ (จันทร์ กุสโล)” ปัจจุบันมรณภาพแล้ว
สมัยนั้นที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหารมีกุฏิหลังหนึ่งที่เป็นกุฏิพิเศษคือมีพระภิกษุที่ทำงานเป็นอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนาพักอยู่ด้วยกันหลายรูป แต่ละรูปก็มักจะมีพระสงฆ์สามเณรที่รู้จักแวะเวียนไปเยี่ยมอยู่เสมอ ถึงเวลาฉันเพลก็จะมีพระสงฆ์สามเณรแวะเข้ามาร่วมฉันเพลวันละหลายรูป บางรูปนำอาหารมาด้วยแบ่งปันกันฉันตามมีตามเกิด เป็นกุฏิที่ต้อนรับพระสงฆ์จากทุกสารทิศ และหากเป็นพระจากต่างจังหวัดก็จะแวะเข้ามาพักพาอาศัยอยู่เป็นประจำ ห้องข้างล่างกุฏิชั้นล่างกว้างพอสำหรับการพักได้ประมาณสิบรูป ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดหากจะมีพระนอนอยู่ที่ห้องด้านล่าง เพราะประตูด้านหน้ากุฏิไม่ค่อยได้ปิด ส่วนมากจะเปิดไว้ตลอดวัน พอตกกลางคืนก็เพียงปิดประตูแต่ไม่ได้ลงกลอน พระสงฆ์จึงเดินเข้าเดินออกได้ตามสะดวก แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งแม้จะมีพระสงฆ์สามเณรตลอดจนฆราวาสเดินเข้าเดินออกอยู่ตลอดวัน ประตูก็ไม่ได้ปิด แต่ไม่เคยมีสมบัติอะไรหายเลย ผิดกลับกุฏิบางแห่งที่แม้จะปิดประตูใส่กุญแจอย่างดีคนก็ยังเข้าไปขโมย ทรัพย์สมบัติมักจะหายอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับกุฏิที่เปิดประตูไว้กลับไม่มีอะไรสูญหาย บางครั้งการเปิดเผยก็เป็นภูมิคุ้มกันภัยอย่างหนึ่ง
เมื่อกลางปีที่ผ่านมาได้พบกลับพระภิกษุรูปนั้น ปัจจุบันมีสมณศักดิ์เป็น “ท่านเจ้าคุณ” มาหลายปีแล้ว เมื่อถามว่าท่านยังวาดภาพและเขียนหนังสืออยู่หรือไม่ ท่านหันมายิ้มและยังคงมีอารมณ์อันสุนทรีย์อยู่ในดวงตา ท่านบอกว่า “นานๆจะวาดได้สักภาพ แต่เน้นที่การเขียนหนังสือ มันเป็นความสุขส่วนตัวของผม เลิกไม่ได้” จากนั้นท่านก็ขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ วันนั้นท่านเจ้าคุณเป็นองค์แสดงธรรมเทศนาในงานพราราชทานเพลิงศพบุคคลสำคัญท่านหนึ่ง
วันหนึ่งเดินเข้าร้านหนังสือเห็นชื่อคนเขียนจึงลองๆพลิกดู เป็นชื่อนามปากกาของท่านเจ้าคุณท่านนั้น ท่านเขียนมาหลายเล่มแล้วจริงๆ ท่านเจ้าคุณฯมีความสุขกลับการวาดภาพและเขียนหนังสือ แม้จะไม่ทำให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองอะไร เพราะภาพวาดก็คงขายยากหรือหนังสือก็เป็นสินค้าที่ขายยากเหมือนกัน ท่านเขียนเพราะอยากเขียนไม่ได้ทำในเชิงธุรกิจการค้า แต่การเขียนแบบนี้อยู่ได้ยืนยาว คนเขียนก็มีความสุขที่ได้เขียน เพราะเขียนในส่วนที่อยากเขียน เขียนเป็นงานอดิเรก แต่ทว่าเจ้าความสุขมักจะมาจากงานอดิเรกมิใช่งานประจำ
ถึงจะยากจนแต่กลับความสุข หรือว่ามนุษยชาติถูกสาบให้ต้องเลือก คนร่ำรวยใช่มีความสุขหรือไม่ อันนี้ตอบไม่ได้เพราะเกิดมายังไม่เคยรวย เคยเป็นแต่คนจนที่มีความสุข แต่ในชีวิตยังไม่เคยเป็นคนรวยจึงไม่อาจทราบได้ว่าคนรวยเขามีความสุขหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นคนที่ฆ่าตัวตายส่วนหนึ่งคือคนรวย น้อยครั้งจะมีคนจนฆ่าตัวตายสักครั้ง อย่างมากก็แค่เมาสุราหรือยาบ้าปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าประท้วงอะไรสักอย่างจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หายเมาก็หายบ้าและยังคงดำเนินชีวิตต่อไป
มีสุภาษิตจีนอยู่บทหนึ่งว่า “幸福如意 (ซิ่งฝูหรูอี้) มีความสุขสมปรารถนา”(ลอกเขามาความจริงอ่านภาษาจีนไม่ออก) ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ขอใช้สุภาษิตบทนี้เป็นคำอวยพรก็แล้วกัน สุขหรือทุกข์ล้วนเป็นเราเลือกเอง หาใช่อยู่ที่คนอื่นหยิบยื่นให้ไม่ ความสุขหรือความทุกข์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะว่าจะรวยหรือจน เพราะความสุขหรือความทุกข์อยู่ภายในจิตใจเรานี่เอง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
21/01/55