ตั้งใจว่าจะไม่เขียนเรื่องน้ำท่วม เพราะเห็นข่าวแล้วสะเทือนใจ แต่ช่วงนี้คิดอะไรมไออกจริงๆว่าจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับอะไร นอกจากเรื่องน้ำท่วม เห็นข่าวนายกรัฐมนตรีไทยให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้ร้องให้แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง เห็นแล้วรับรู้ได้ถึงความลำบากของประชาชนที่ประสบกับภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ แม้ที่วัดน้ำจะผ่านไปแล้ว สภาพภายนอกเป็นปรกติ แต่สภาพภายในจิตในนั้นรู้สึกเงียบเหงา หว้าเหว่และวังเวง ผู้คนที่เคยพลุกพล่านก็เงียบหาย กรุงเทพมหานครในห้วงเวลานี้จึงเมืองที่ตกอยู่ในความมืดมน ผู้คนหวาดผวากับมหาอุทกภัย
ในแต่ละวันจะมีผู้คนมาเฝ้าดูระดับน้ำที่คลองบางเขนที่ไหลผ่านหน้าวัดไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยา ต่างก็วิพากย์วิจารณ์ไปต่างๆนานา มีคนหนึ่งมาจากคลองสามวาบอกว่า “บ้านผมน้ำยังไม่ลด ยังเข้าบ้านไม่ได้ โรงงานที่ทำงานอยู่ก็ถูกปิด ผมจึงตกงาน เงินที่เก็บไว้ก็ค่อยๆหมดไป ผมต้องพักที่ศูนย์พักพิง แม้จะมีอาหารการกินที่สมบูรณ์ แต่การที่จะต้องจากบ้านที่เคยอยู่อาศัยมาตลอดชีวิตไปอยู่ที่อื่นนั้น เป็นความทุกข์ยากที่ยังทำใจลำบาก บ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็ก เกิดและโตที่นี่ พออยู่มาวันหนึ่งบ้านถูกน้ำท่วมเข้าบ้านไม่ได้ มันยากจะทำใจให้ยอมรับจริงๆ”
อีกคนหนึ่งมาขอพักที่โรงเรียนปริยัติธรรมบอกว่า “บ้านผมอยู่บางบัวทอง น้ำท่วมมานานนับเดือนแล้วครับ อยู่ไม่ได้ น้ำเริ่มเน่าแล้ว งานก็ไม่มีจะทำ โรงงานปิด การช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆแม้จะมีอยู่แต่ก็ยังไม่ทั่วถึง บ้านผมอยู่ลึกมาก เมื่อวันก่อนบอกให้ลูกสาวเข้าไปถ่ายภาพบ้านเพื่อจะขอรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลครอบครัวละห้าพันบาท ในยามทุกข์ยากแบบนี้เงินสำคัญมาก เพราะต้องซื้อกินอย่างเดียว หมดเงินก็หมดแรง” ผู้เขียนโรงเรียนปริยัติธรรมให้เป็นพักพิง ได้ เป็นศูนย์อพยพที่ไม่เป็นทางการ ใครจะมาพักขอเชิญได้ เขตบางซื่อ วงศ์สว่าง ซอย 11
แม่ค้าร้านขายของซำที่หน้าวัดบอกว่า “สินค้าราคาแพงมาก แม้แต่น้ำดื่มก็ต้องขึ้นราคา ปรกติจะมีรถของบริษัทหนึ่งมาส่งน้ำในราคาขายส่งมาอาทิตย์ละสองครั้ง น้ำดื่มขวดขนาดเล็กขายในราคาขวดละประมาณห้าบาท หนึ่งโหลตกประมาณหกสิบบาท เมื่อนำมาแช่เย็นขายขวดละเจ็ดบาท แต่ทุกวันนี้ต้องขายขวดละสิบบาท รถขนส่งน้ำไม่มาส่งสองอาทิตย์แล้ว เขาบอกว่าบริษัทที่ผลิตน้ำดื่มถูกน้ำท่วมต้องปิดโรงงาน”
แม้ค้าคนเดิมยังสาธยายต่อไปว่า “บ้านอยู่บางกรวยใกล้บางบัวทองน้ำท่วมเหมือนกัน ได้ข่าวว่ารัฐบาลจะให้การช่วยเหลือครอบครัวละห้าพันบาท แต่ต้องมีภาพถ่ายบ้านที่ถูกน้ำท่วมมาแสดงด้วย วันก่อนพยายามเข้าไปถ่ายภาพบ้าน แต่ค่าเรือแพงมากเขาคิดจากสพานพระรามเจ็ดเข้าไปยังบางกรวยหกร้อยบาท ซึ่งก็ยังไปไม่ถึงต้องนั่งเรือต่อไปอีก อย่างน้อยๆรวมรายจ่ายแล้วน่าจะเกือบสองพันบาท เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือห้าพันบาท จึงตัดสินใจไม่ขอรับการช่วยเหลือ เอกสารทุกอย่างจมหายไปในน้ำหมดแล้ว”
ลุงคนหนึ่งที่อพยพครอบครัวมาขอพักพิงที่โรงเรียนวัดมัชฌันติการามเล่าให้ฟังว่า “ที่ศูนย์นี้มีประมาณหนึ่งร้อยคน มาจากทุกพื้นที่ ซึ่งบางคนก็เริ่มกลับบ้านแล้ว แม้จะมีอาหารการกินที่ไม่ขาดแคลน แต่การอยู่ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคย ไม่ใช่บ้านของตนเองนั้น แม้จะสะดวกสบายทางกาย แต่ความทุกข์ทางใจที่เกิดจากความกังวลถึงบ้านที่แท้จริงนั้นอธิบายไม่ถูกจริงๆ”
ผู้เขียนมีที่ทำงานที่ศาลายา นครปฐม วันศุกร์ที่ผ่านมาพยายามเดินทางไปทำงาน แต่ไม่สำเร็จ นั่งรถแท็กซี่ไปถึงสะพานพระรามห้ามเท่านั้นเอง ถนนนครอินทร์เจิ่งนองไปด้วยน้ำ แม้จะมีรถวิ่งผ่านไปมาได้ แต่ก็มีเพียงรถบางชนิดเท่านั้น คนขับรถแท็กซี่ไม่กล้าเสี่ยงเขาบอกว่า “ผมขอขับรถรอบๆบริเวณน้ำท่วมดีกว่า แม้จะได้เงินน้อยก้ยังดีกว่ารถจมน้ำแล้วขับไม่ได้”
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลความสงบบริเวณเชิงสะพานเข้ามาถามว่า “หลวงพี่จะไปไหนครับ” เมื่อบอกจุดหมายว่าอยู่ที่ศาลายา ตำรวจแนะนำด้วยความหวังดีว่า “หากไม่จำเป็นจริงๆกลับวัดดีกว่า เพราะต้องนั่งรถต่อเรืออีกหลายครั้ง คำนวณค่าใช้จ่ายแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งพันบาท ทั้งขาไปและกลับต้องใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าสองพันบาท เวลาที่เดินทางไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง”
คิดดูแล้วจึงตัดสินใจหารถกลับ แต่ก็ยากอีกรถโดยสารไม่มี จึงต้องเดินข้ามสะพานพระรามห้ากลางเปลวแดดของยามเที่ยงวัน มีรถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งจอดถามว่า “หลวงพี่จะไปไหน ผมจะไปส่ง” ตอนนั้นร้อนมากจึงตัดสินใจนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างพอให้พ้นจากสะพาน คนขับบอกว่า “บ้านผมจมมิดหลังคาเลยครับ ยังเข้าบ้านไม่ได้ สมบัติที่เหลือก็คือรถคันนี้แหละครับ ได้อาศัยเป็นเครื่องมือทำมาหากินอยู่ทุกวันนี้ เส้นทางผมจากเชิงสะพานฝั่งโน้น มาที่เชิงสะพานฝั่งนนทบุรี หากเดินก็ไม่ไกลนัก วันหนึ่งได้หลายบาทพอประคับครองตัวไปได้”
ฝั่งโน้น(ธนบุรี)กับฝั่งนี้(นนทบุรี กรุงเทพฯ)ต่างกันสุดขั้วเหมือนอยู่กันคนละโลก ฝั่งโน้นน้ำท่วมขัง มีเรือและแพจอดตามถนน แต่ฝั่งนี้กลับไม่มีน้ำ รถยนต์สัญจรตามปรกติ คนละฝั่งม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนไม่ใช่โลกใบเดียวกัน ในช่วงเวลานี้คนที่ถูกน้ำท่วมลำบากอยู่แล้ว แต่คนที่ไม่ถูกน้ำท่วมก็ลำบากไม่แพ้กัน คนหนึ่งลำบากเพราะน้ำ อีกคนลำบากเพราะการเป็นอยู่ การเดินทาง ไม่ไปทำงานเพราะเดินทางลำบากก็กลัวว่าจะไม่มีงานทำ กลัวจะถูกกล่าวหาว่าไม่สนใจความทุกข์ยากของคนอื่น ครั้นจะไปทำงานก็เดินทางไปไม่ได้มีน้ำท่วมขวางเส้นทาง วิถีชีวิตของคนกรุงเทพมหานครในยามนี้ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องช่วยเหลือตนเองเป็นเบื้องต้นก่อน ส่วนการช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นอาจจะไม่ทั่วถึง เพราะพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมกินอาณาบริเวณกว้างมาก ต้องพยายามทำจิตใจให้เข้มแข็งยอมรับกับสภาพที่เกิดขึ้นให้ได้ ต้องมีตนเป็นเกาะ ต้องมีตนเป็นที่พึ่งให้ได้
ในพระพุทธศาสนาเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงอาพาธใกล้ปรินิพพานนั้นได้แสดงธรรมให้ภิกษุพึ่งตนเอง ทำตนให้เป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง ดังที่แสดงไว้ในคิลานสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค (19/708/171) สรุปความว่า “สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงเขาจำพรรษา ณ เวฬุวคาม ใกล้เมืองเวสาลี อาพาธกล้าบังเกิดขึ้นแก่พระพุทธองค์ เวทนาอย่างหนักใกล้มรณะเป็นไปอยู่ ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระดำรงสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้น ไม่ทรงพรั่นพรึง
ครั้งนั้นพระองค์ทรงพระดำริว่า การที่เรายังไม่บอกภิกษุผู้อุปัฏฐาก ยังไม่อำลาภิกษุสงฆ์ แล้วปรินิพพานเสียนั้น หาสมควรแก่เราไม่ ไฉนหนอ เราพึงขับไล่อาพาธนี้เสียด้วยความเพียร แล้ว ดำรงชีวิตสังขารอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงขับไล่พระประชวรนั้นด้วยความเพียร แล้วทรงดำรงชีวิตสังขารอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระประชวรแล้ว ทรงหายจากความไข้ไม่นาน ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ในร่มแห่งวิหาร
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นพระผู้มีพระภาคทรงอดทน ข้าพระองค์เห็นพระผู้มีพระภาคทรงยังอัตภาพให้เป็นไป กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไป แม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์ เพราะความประชวรของพระผู้มีพระภาค แต่ข้าพระองค์มาเบาใจอยู่หน่อยหนึ่งว่า พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงปรารภภิกษุสงฆ์ แล้วตรัสพระพุทธพจน์อันใดอันหนึ่ง จักยังไม่เสด็จปรินิพพานก่อน”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรอานนท์ก็บัดนี้ ภิกษุสงฆ์จะยังมาหวังอะไรในเราเล่า ธรรมอันเราแสดงแล้วกระทำไม่ให้มีในภายใน ไม่ให้มีในภายนอก กำมืออาจารย์ในธรรมทั้งหลาย มิได้มีแก่ตถาคต ผู้ใดพึงมีความดำริฉะนี้ว่า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์ หรือว่าภิกษุสงฆ์ยังมีตัวเราเป็นที่เชิดชู ผู้นั้นจะพึงปรารภภิกษุสงฆ์ แล้วกล่าวคำอันใดอันหนึ่งแน่นอน ดูกรอานนท์ ตถาคตมิได้มีความดำริอย่างนี้ว่า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์หรือว่าภิกษุสงฆ์มีตัวเราเป็นที่เชิดชู ดังนี้ ตถาคตจักปรารภภิกษุสงฆ์แล้วกล่าวคำอันใดอันหนึ่ง ทำไมอีกเล่า บัดนี้เราก็แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว วัยของเราเป็นมาถึงแปดสิบปีแล้ว เกวียนเก่ายังจะใช้ไปได้ก็เพราะการซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ ฉันใด กายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกันยังเป็นไปได้ก็คล้ายกับเกวียนเก่าที่ซ่อมแซมแล้วด้วยไม้ไผ่ ฉะนั้น
ดูกรอานนท์ สมัยใด ตถาคตเข้าเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนิมิตทั้งปวง เพราะดับเวทนาบางเหล่าแล้วอยู่ สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมผาสุกเพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งคือจงมีธรรมมีเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด
ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งคือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌา และโสมนัสในโลกเสีย ดูกรอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งคือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล
ดูกรอานนท์ ก็ผู้ใดผู้หนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในเวลาที่เราล่วงไปแล้วก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่งไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ภิกษุเหล่านั้นจักเป็นผู้เลิศ
ในอรรถกถาคิลานสูตร เล่ม 5 ภาค 1หน้าที่ 401 ได้อธิบายคำว่า “อตฺตทีปา มีตนเป็นเกาะ” ไว้ว่าหมายถึง “เธอทั้งหลายจงทำตนให้เป็นเกาะคือเป็นที่พึ่งอยู่เถิดเหมือนคนอยู่ในมหาสมุทรทำเกาะอาศัยอยู่ฉะนั้น คำว่า “อตฺตสรณา มีตนเป็นที่พึ่ง” หมายถึง “เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นคติ อย่ามีคนอื่นเป็นคติเลย คำว่า ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง” หมายถึงธรรมคือโลกุตตรธรรมเก้าประการคือธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก สภาวะพ้นโลกได้แก่มรรค 4 ผล 4 นิพพานหรืออสังขตธาตุ 1 โลกุตตรธรรมทั้งเก้านี้คือเกาะและที่พึ่งอันสูงสุดของภิกษุ เป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทาง
ส่วนชาวบ้านที่ยังต้องอยู่กับโลกก็ต้องมีตนเป็นที่พึ่งให้ได้ ช่วงนี้ทุกคนต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ทั้งคนที่มีบ้านถูกน้ำท่วม และคนที่ไม่ถูกน้ำท่วม แม้ความทุกข์จะต่างกัน แต่ก็มีทุกข์ยากลำบากไม่แพ้กัน วิกฤตน้ำท่วมในครั้งนี้อาจะทำให้คนไทยรักกันมากขึ้น เพราะต่างก็เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
14/11/54