เทศกาลลอยกระทงใกล้เข้ามาแล้ว กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับมหาอุทกภัย น้ำท่วมกรุงเทพฯ แทบทุกพื้นที่การเดินทางไปมาลำบาก ตามสองริมฝั้งแม่น้ำเจ้าพระยาในยามนี้เห็นแต่กระสอบทรายและกำลังทหารที่เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด หากกระสอบทรายหรือพนังกั้นน้ำแตก กรุงเทพฯก็จะกลายเป็นเมืองบาดาล แม้ทุกวันนี้ก็ลำบากพออยู่แล้ว ถนนบางสายถูกปิดเพราะน้ำท่วมสูง รถราวิ่งไปไหนมาไหนลำบาก มีใครไม่ทราบบ่นให้ได้ยินว่า “เหมือนน้ำมีวิญญาณ มันเลือกท่วมเฉพาะแหล่งเศรษฐกิจ ตามโรงงานใหญ่ๆ แต่บ้านคนจนมันไม่ค่อยท่วม” วัดผู้เขียนเองน้ำก็ยังไม่ท่วม น้ำท่วมอยู่รอบๆแต่ไม่เข้าวัด นี่อาจจะเป็นเพราะเขตบางซื่อเป็นเขตที่มีพื้นที่สูงน้ำจึงยังท่วมมาไม่ถึง แม้ที่พักน้ำจะไม่ท่วมแต่ที่ศาลายา นครปฐม ตามปรกติจะต้องเดินทางไปทำงานทุกวัน น้ำท่วมสูงแล้ว ถนนถูกปิดหมดจึงไปทำงานไม่ได้
ผู้เขียนเดินทางหนีน้ำท่วมไปจังหวัดหนองบัวลำภู ที่นั่นน้ำท่วมทุกปีแต่ไม่เดือดร้อน เพราะท่วมจนเคยชิน ไปพักที่วัดป่าแห่งหนึ่งหลังเขื่อนอุบลรัตน์ กิจวัตรประจำวันของวัดป่าแห่งนี้อยู่กันง่ายๆ พอบิณฑบาตกลับมารอญาติโยมไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็เริ่มฉันภัตตาหาร วันหนึ่งฉันครั้งเดียว จากนั้นก็แยกย้ายกันไป ใครมีงานอะไรก็ทำไป หากไม่มีงานก็อยู่กันเฉยๆบำเพ็ญสมณธรรมตามสะดวก จนกระทั่งถึงเวลาตะวันคล้อยจึงมาพบกันที่ศาลา ฉันน้ำชา กาแฟ น้ำปานะหรือฉันยาปรมัตถ์ และเริ่มต้นทำความสะอาดบริเวณวัดโดยการกวาดใบไม้ ที่หล่นเกลื่อนเต็มลานวัด ที่นี่มีต้นไม้ยางขนาดสองคนโอบอยู่หลายต้น นอกจากนั้นบริเวณวัดป่ายังรกครื้มไปด้วยไม้ป่านานาพรรณอีกจำนวนมาก วัดจึงร่มรื่นจากเงาไม้ตลอดปี แม้ปีนี้น้ำจะท่วมศาลาการเปรียญจนถึงชั้นสองก็ไม่ได้เดือดร้อน ย้ายจากศาลาหลังใหญ่มาใช้ศาลาหลังเล็กก็พอประครองตัวรอดตลอดหน้าน้ำไปได้ จนกระทั่งค่ำจึงทำวัตรสวดมนต์และแยกย้ายกันกลับกุฏิที่พักของใครของมันพบกันอีกทีตอนตีห้าครึ่งและออกโคจรบิณฑบาต ชีวิตของพระสงฆ์ที่นี่เรียบง่ายอย่างนี้
เพื่อพิสูจน์ความจริงอย่างหนึ่ง และอีกอย่างก็ใกล้เทศกาลลอยกระทงแล้ว ลองเรียนวิชาทำโคมลอยบ้างจะได้วิชาเพิ่มขึ้นอีก วิชาแบบนี้ไม่มีสอนในระบบการศึกษาไทย แต่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ลงทุนซื้อกระดาษเพียงไม่กี่บาทแต่ได้วิชาทำโคมลอยมาหนึ่งวิชาน่าเรียน ตอนนั้นไม่เชื่อว่ากระดาษห่อสังฆทานสีเหลืองที่เห็นอยู่ทั่วไปติดกาวแล้วมันจะขึ้นสู่ท้องฟ้าได้อย่างไรกัน ในใจก็คิดเพียงแต่ว่าหลวงตานี่ขี้คุยเอาการ จากนั้นก็ให้เด็กไปซื้ออุปกรณ์ วันนั้นเจ้าอาวาสไปร่วมงานกฐินที่วัดอื่นจึงไม่ได้อยู่ฉันภัตตาหารที่วัด
สองชั่วโมงที่หลวงตาว่านั้น แต่พอถึงเวลาทำจริงๆไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด พระสงฆ์และชาวบ้านร่วมสิบคนมาช่วยกันทำ บางคนคลี่กระดาษ บางคนติดกาว บางคนนำกระดาษที่ติดแล้วมาต่อกัน ผู้เขียนก็ช่วยเขาทั้งๆไม่ได้มีความรู้ในการทำโคมลอยมาก่อนเลย กว่าสี่โมงเย็นโคมสองอันเป็นเสร็จสมบูรณ์ มีสองขนาดคือขนาดเล็กใช้กระดาษเพียงยี่สิบสี่แผ่น ส่วนอีกอันใช้กระดาษจำนวนมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแปดแผ่น
เพื่อพิสูจน์ว่ามันจะขึ้นสู่ท้องฟ้าได้จริงจึงลองปล่อยโคมลอยขนาดเล็กก่อน ควันไฟที่ใช้ถังน้ำมันครอบค่อยๆลอยอ้อยอิ่ง จากนั้นทั้งพระสงฆ์และชาวบ้านช่วยกันนำโคมลอยมาใส่ควันเข้าไป สายลมลงเวลามาจากไหนไม่ทราบพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ กว่าที่ควันจะเข้าสู่โคมลอยได้ก็กินเวลานานมาก พอถึงเวลาปล่อยเท่านั้น โคมลอยเจ้ากรรมลอยพ้นขอบไม้เหมือนจะขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่พลันลดวูบลงสู่ดิน เป็นอันว่าเย็นวันนั้น โคมลอยขนาดเล็กสงบนิ่งอยู่ภายในบริเวณวัดนั่นเอง ปล่อยยังไงก็ไม่ขึ้น วันนั้นช่วงเวลากลับจากบิณฑบาต หลวงตาฝั่นกำลังคุยโขมงเรื่องการทำโคมลอย หลวงตาบอกว่า “ผมนี่แหละคือช่างทำโคมลอยตัวจริง แต่ผมเรียกโคมลมหากทำเมื่อไหร่ไม่เคยพลาด มันลอยไปไกล บางปีไปถึงเชียงใหม่โน่น “ ผู้เขียนนั่งฟังเงียบๆมานานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ใช้วัสดุอะไรทำ” หลวงบอกว่า “กระดาษที่ห่อสังฆทานนี่แหละ ใช้กระดาษกาวปิดต่อกันให้สนิท เท่านี้ก็เสร็จแล้ว ใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมง หากมีกระดาษผมทำให้ดูได้เลย”
เวลาที่ทุกคนรอคอยไม่นานนัก พอแดดยามเช้าส่องแสงแรงร้อน พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จทุกคนก็เฝ้ารอการปล่อยโคมลอยอันนั้น ควันจากยางรถยนต์มีสำดำเข้าม พอนำเข้าไปในโคมลอยได้ไม่นานก็เต็ม โคมตึงมีแรงดึงดูดแรงมาก คนที่นั่งดูมีสองความเห็น กลุ่มแรกบอกว่าไม่ขึ้นเพราะกระดาษมันอ่อนถูกความร้อนจะละลาย แต่อีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าแดดยามเช้าอากาศดีกว่าตอนเย็น ปล่อยตอนเช้าถูกแล้วท้องฟ้าโล่งอากาศเบาขึ้นแน่นอน วันนั้นเจ้าอาวาสทราบข่าวแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ท่านไปร่วมงานทอดกฐินที่วัดอีกแห่งหนึ่ง ไม่มีโอกาสได้ชม ท่านเพียงแต่ยิ้มจางๆที่มุมปาก ก่อนจะออกเดินทาง
แดดร้อนขึ้นเรื่อยๆความร้อนเริ่มเผาไหม้กระดาษที่บิรเวณปากโคมลอย แต่ลุงรวมคนปล่อยบอกว่าไม่เป็นไรถ้ายอดมันไม่รั่วยังไงก็ยังขึ้นอยู่ดี ไม่นานนักโคมลอยขนาดใหญ่ก็ค่อยๆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาเช้า มันทรงตัวอยู่กลางฟ้านิดหนึ่งเหมือนจะลอยลงมายังพื้นดิน ตอนนั้นหลายคนเริ่มยอมแพ้แล้ว ก่แต่เพียงชั่วครูเดียวโคมลอยขนามมหึมาอันนั้นพลันถีบตัวพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าลอยตัวตามกระแสลมที่พัดมาอย่างได้เวลาพอดี ไม่นานนักก็หายเข้ากลีบเมฆ หลวงตาฝั่นช่างทำโคมลอยบอกว่า “ต้องปล่อยเวลาเช้าก่อนเที่ยง แดดกำลังดีและท้องฟ้าโปร่ง โคมลอยถึงจะขึ้น ตอนนั้นทุกคนหมดแรงกันแล้ว และไม่ค่อยมีใครเชื่อว่าโคมลอยขนาดใหญ่หนึ่งร้อยยี่สิบแปดแผ่นอันนั้นจะขึ้นสู่ท้องฟ้าได้จริงๆ เพราะโคมลอยขนาดเล็กยังไม่อาจจะพ้นยอดไม้ไปได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงโคมลอยขนาดใหญ่ด้วยเล่า คืนนั้นจึงหลับสบายเพราะไม่ได้คาดหวังว่าโคมลอยนั้นมันจะขึ้นสู่ท้องฟ้าได้จริงๆ ผิดกับหลวงตาฝั่นที่บอกในตอนเช้าก่อนออกบิณฑบาตว่า “เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ กลัวว่าโคมลอยมันจะกลายเป็นเรื่องโคมลอยจริงๆ แต่ที่ผมทำมายังไม่พลาดสักอัน” ลึกๆหลวงตายังเชื่อมั่นว่ามันจะขึ้นสู่ท้องฟ้าได้จริงๆ จึงบอกหลวงตาไปว่า “ไม่เป็นไรปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองของมัน ขึ้นไม่ขึ้นเดี๋ยวก็รู้”
ที่ภาคเหนือในช่วงวันยี่เป็งจะมีการประดับตกแต่งวัด บ้านเรือน ทำประตูป่า ด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคมยี่เป็งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็นพุทธบูชา และมีการจุดถ้วยประทีป เพื่อบูชาพระรัตนตรัย และมีการจุดโคมลอยหรือโคมไฟปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ งานมักจะจัดขึ้นใชช่วงเวลากลางคืน
ส่วนภาคกลางจะมีพิธีลอยกระทงตามลำน้ำสายสำคัญๆที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คน เชื่อกันว่าเป็นการบูชาลอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พญานาคที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา งานประเพณีลอยกระทงจึงเป็นงานใหญ่ ที่จังหวัดสุโขทัยเรียกว่า “ประเพณีจองเปรียงเพ็ญเดือนสิบสอง” งานจัดใหญ่ทุกปี พิธีจองเปรียงคือการยกโคมตามประทีปบูชาเทพเจ้าตรีมูรติกระทำในเดือนสิบสอง ประเพณีการจุดโคมมักจะจัดขึ้นในช่วงเทศกาลลอยกระทง ภาคเหนือเรียกว่า “ประเพณียี่เป็ง”ซึ่งก็คือประเพณีลอยกระทงของชาวล้านนา นิยมจะจัดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ส่วนที่ภาคอีสานนิยมลอยกระทงตามลำน้ำหรือหากบ้านไหนไม่มีแม่น้ำก็นิยมทำกระงลอยฟ้าโดยใช้โคมลอยแทน แต่มักจะนิยมปล่อยในช่วงเวลากลางคืน ท้องฟ้าในวันเพ็ญเดือนสิบสองจึงดารดาษไปด้วยประทีปโคมไฟที่ลอยฟ่องเต็มท้องฟ้า นัยว่าเพื่อเป็นการบูชาต่อพระธาตุเกตุแก้วจุฬามณีอันสถิตย์อยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
คติความเชื่อที่ว่าการปล่อยโคมลอย โคมลม เพื่อเป็นพุทธบูชานั่นมีมาในสังคมไทยนานแล้ว ถึงหากโคมลอยจะไปไม่ถึงพระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี แต่สิ่งที่ชาวบ้านร่วมกันทำนั้นเป้นพลังแห่งความศรัทธาอย่างหนึ่ง พวกเขาเชื่อจึงทำ และทำในสิ่งที่เชื่อ ไม่ใช่ความไร้สาระแต่ประการใด วันนั้นนั่งมองโคมลอยที่ค่อยทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้จะเป็นเวลากลางวันก็ได้เห็นผู้คนอีกหลายเฝ้าดูของแปลก อย่างน้อยวันนั้นก็ได้เรียนวิชาอีกแขนงหนึ่งคือ “วิชาการทำโคมลอยด้วยกระดาษห่อสังฆทาน” กระดาษห่อสังฆทานที่เป้นของทิ้งไม่มีค่า ตอนนี้มีค่าแล้ว เพราะจะเริ่มเก็บและส่งไปให้หลวงตามทำโคมลอยในโอกาสต่อไป
วันนั้นตอนเย็นท้องฟ้าสงบ เจ้าอาวาสเดินมาเรียกที่กุฏิบอกว่ามาดูโคมลอยของจริง ตอนกลางวันเขาเรียกโคมลม ประเพณีลอยกระทงต้องปล่อยโคมลอยหรือโคมไฟในตอนกลางคืน ถือกล้องถ่ายภาพได้เดินลงกุฏิ เจ้าอาวาสสั่งให้จุดไฟ และปล่อยโคมไฟขึ้นสู้ท้องฟ้า แสงไฟจากโคมไฟค่อยๆทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาค่ำคืน เจ้าอาวาสบอกว่า หากอยากดูโคมไฟที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าจำนวนหลายพันดวงพร้อมๆกันให้ไปดูที่เชียงใหม่ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง มัวแต่ฟังเจ้าอาวาสสาธยายและกำลังงงๆและสงสัยอยู่ว่า "โคมลอย โคมลมและโคมไฟ มันต่างกันตรงไหน" พลางแหงนมองดูโคมที่มีไฟที่กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า จนลืมถ่ายภาพทั้งๆที่กล้องก็วางอยู่ข้างๆนั่นเอง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
03/11/54