วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นวันครบรอบแห่งการสถาปนามหามกุฏราชวิทยาลัย 118 ปี ซึ่งปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่ศาลายา นครปฐม ได้ทำการเปิดเป็นสถานที่ราชการในวันนี้โดยมีสมเด็จพระวันรัต อุปนายกสภามหาวิทยาลัย รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตเป็นประธาน ที่ธรรมสถานภายในมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในอดีตเมื่อ 118 ปีที่ผ่านมา วันที่ 1 ตุลาคม 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตั้งวิทยาลัยขึ้นในบริเวณวัดบวรนิเวศวิหาร พระราชทานนามว่า “มหามกุฏราชวิทยาลัย” โดยมีพระราชประสงค์เพื่อเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ จึงทรงตั้งวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินกิจการของ มหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นสามประการ คือ (1) เพื่อเป็นสถานศึกษาของพระภิกษุสามเณร (2) เพื่อเป็นสถานศึกษาวิทยาการอันเป็นของชาติภูมิและของต่างประเทศ (3) เพื่อเป็นสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา
วันที่ 30 ธันวาคม 2488 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานะที่ทรงเป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ จึงได้ทรงประกาศตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงในรูปมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาขึ้น โดยอาศัยนามว่า “สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย”
ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า กรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย สถาบันการศึกษาแห่งนี้ ได้เริ่มเปิดให้การอบรมศึกษาแก่ภิกษุสามเณร ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2489 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นวันที่ 16 กันยายนของทุกปีจึงเป็น “วันอุดมศึกษามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย”
นักศึกษาที่เข้าศึกษาในรุ่นแรกเป็นพระภิกษุทั้งหมดและในอีกห้าปีต่อมาก็มีพระภิกษุที่เรียนจบปริญญาศาสนศาสตรบัณฑิตครั้งแรกจำนวน 8 รูป ในบรรดาผู้ที่เรียนจบในครั้งนั้นปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่หลายท่านและมาร่วมงานในวันสถาปนาสองท่านคือ พันเอกทอง ชัยสาร อายุ 87 ปี และศาสตราจารย์เกียรติคุณแสง จันทร์งาม อายุ 84 ปี ปัจจุบันยังคงสอนหนังสือที่วิทยาเขตล้านนา จังหวัดเชียงใหม่
นอกจากนั้นยังมีศิษย์เก่ารุ่นต่างๆอีกหลายท่านเช่นอาจารย์เที่ยง นันโท อายุ 83 ปี ศาสนศาสตรบัณฑิตรุ่นที่ 3 ศาสตราจารย์ ดร.สุนทร ณ รังษี ศาสตราจารย์ ดร. สิทธิ์ บุตรอินทร์ เป็นต้น ได้สนทนากับศาสตราจารย์แสง จันทร์งามสั้นๆ เพราะมีศิษย์เก่าอยากถ่ายภาพร่วมกับศิษย์รุ่นแรกจำนวนมาก ท่านอาจารย์ยังคงยิ้มแย้มทักทายคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างมีความสุขเหมือนกำลังย้อนรำลึกนึกถึงอดีตซึ่งสมัยนั้นมีอาคารเรียนหลังเดียวภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งปัจจุบันยังใช้เป็นห้องเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1-2 ส่วนนักศึกษาชั้นปีที่ 3-4 ได้ย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งใหม่ ที่ศาลายา นครปฐม
สำนักงานอธฺการบดี สำนักงานคณบดี สถาบันและหน่วยงานต่างๆได้ย้ายที่ทำงานมาที่มหาวิทยาลัยแห่งใหม่หมดแล้ว และมหาวิทยาลัยแห่งใหม่กำลังอยู่ในช่วงของการก่อสร้าง ปัจจุบันมีวิทยาเขตอีก 7 แห่ง และวิทยาลัยอีก 3 วิทยาลัย กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ปัจจุบันมีนักศึกษาทั้งพระภิกษุและคฤหัสถ์มากกว่า 15,000 รูป/คน
ผู้เขียนเรียนจบศาสนศาตรบัณฑิตรุ่นที่ 38 ซึ่งก็นานมาแล้ว ปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 65 จะมีพิธีประทานปริญญาบัตรในวันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2554 ที่จะถึงนี้ ผู้เขียนจึงเป็นศิษย์เก่าอยู่ในช่วงกลางๆ รู้สึกดีใจที่ได้พบกับศิษย์เก่ารุ่นพ่อ ตอนกลับได้มาส่งอาจารย์เที่ยง นันโท กลับบ้าน อาจารย์ยังแข็งแรงและสนทนาอย่างอารมณ์ดี ปัจจุบันอาจารย์ยังคงสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
จากมหามกุฏราชวิทยาลัยในอดีตกลายมาเป็น “สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย" และปัจจุบันคือ "มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย" จากอดีตที่มีนักศึกษาเรียนจบจากสถาบันแห่งนี้เพียง 8 ท่าน แต่ปัจจุบันมีผู้เรียนจบการศึกษาปีละเกือบห้าพันรูป/คน ได้ดำเนินผ่านช่วงของกาลเวลาและมีความทรงจำอีกมากมาย วันนี้ครบรอบวันสถาปนา 118 ปีแล้ว ยังคงผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรมตามปรัชญาของมหาวิทยาลัยที่ว่า “วิชชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์”
วันที่ 2 ตุลาคม 2554 สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยจะจัดงาน “สานเสวนาศิษย์อาวุโส แสดงความในใจ รำลึก มมร” ซึ่งเป็นการชุมนุมศิษย์เก่าตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน ศิษย์เก่าท่านใดจะไปร่วมงานขอเชิญได้ สถานที่จัดงานคือห้องประชุมใหญ่อาคารสุชีพ ปุญญานุภาพ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ศาลายา นครปฐม รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จาก www.mbu.ac.th งานเริ่มตั้งแต่เวลา 13.00 นาฬิกาเป็นต้นไป
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
01/10/54