เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันอาสาหบูชาและวันเข้าพรรษาแล้ว ช่วงนี้หลังจากวันเลือกตั้งผ่านพ้นไปก็ต้องรอสักระยะหนึ่งประเทศไทยก็จะได้ชื่อว่ามีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของของประเทศ ในขณะที่รอชาวพุทธส่วนหนึ่งกำลังหันหน้าเข้าวัด วันหนึ่งมีการถวายสังฆทานเป็นจำนวนมาก มีโยมท่านหนึ่งถามว่าในช่วงเทศกาลเข้าพรรษานี้ควรจะถวายอะไรแก่พระสงฆ์จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะสังฆทานที่มีขายตามร้านค้าทั่วไปนั้นไม่ค่อยจะแน่ใจว่าพระจะใช้ได้จริงหรือไม่
ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าถังสังฆทานหรือห่อสังฆทานที่มีขายตามร้านค้าทั่วไปนั้น ส่วนหนึ่งอำนวยความสะดวกให้แก่พุทธศาสนิกชนคนต้องการจะทำบุญได้มาก เพราะราคาเพียงไม่กี่บาท ถวายเสร็จพระก็เก็บเข้าห้อง เพราะสิ่งของที่อยู่ในห่อสังฆทานนั้นใช้อะไรไม่ค่อยได้เต็มที่ ผ้าก็ผืนเล็กๆจะใช้เป็นผ้าสงบก็ไม่ได้ จะใช้เป็นผ้าอาบน้ำฝนก็ไม่เหมาะ สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ที่มาพร้อมกับน้ำผลไม้ก็ถูกกลิ่นสบู่ดูดซึมไปหมด จะใช้ก็ต้องรอให้กลิ่นสบู่และผงซักฟอกจางหายไปก่อน
ในเทศกาลเข้าพรรษาควรจะทำบุญด้วยการถวายอะไรจึงจะเหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ให้ และผู้รับ ขึ้นอยู่กับว่าวัดกำลังขาดอะไร วัดบางแห่งต้องการกระเบื้องมุงหลังคา บางวัดต้องการปูนซีเมนต์เพื่อซ่อมแซมเสนสนะที่กำลังทรุดโทรม บางแห่งพอหมดยุคสมัยที่ใช้ตะเกียงหรือใช้เทียนที่ให้แสงสว่าง ก็ต้องมีภาระเรื่องค่าน้ำค่าไฟ บางวัดมีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษามากอาหารการฉันอาจจะไม่เพียงพอเป็นต้น
วัดแต่ละแห่งจึงมีความต้องการไม่เหมือนกัน ในพระพุทธศาสนาได้แสดงทานวัตถุเบื้องต้นไว้สิบประการคือข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีป” ผู้ที่ถวายวัตถุทานเหล่านี้ย่อมได้รับอานิสงส์ดังที่แสดงไว้ในจูฬกัมมวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์(14/591/290) ความว่า “บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ย่อมเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆในภายหลังจะเป็นคนมีโภคะมาก”
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปแต่ความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ก็ยังอยู่ที่ปัจจัยสำคัญสี่อย่างคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค ส่วนสิ่งอื่นๆเป็นเพียงเครื่องสนับสนุนให้ชีวิตอยู่สะดวกสบายยิ่งขึ้น หากปัจจัยพื้นฐานขาดแคลนแล้วย่อมเป็นอยู่ลำบาก การจะถวายอะไรเพื่อทำบุญนั้นส่วนหนึ่งนอกจากจะทำตามใจของผู้ให้แล้วควรจะคำนึงถึงผู้รับด้วยว่าผู้รับนั้นขาดเหลืออะไร จึงจะได้ประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ
คนที่กำลังหิวย่อมต้องการอาหารเพื่อจะได้มีกำลังแรงกายไว้เผชิญหน้าสู้กับความผันแปรของโลกต่อไปได้ คนที่กำลังหนาวก็ย่อมต้องการเครื่องนุ่งห่มเพื่อป้องกันความหนาวเย็นเป็นต้น ครั้งหนึ่ง มีเทวดาได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าควรให้อะไรจึงจะได้ชื่อว่าให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ความสุข ให้จักษุ และให้ทุกอย่าง” ดังที่แสดงไว้ในกินททสูตรสังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/137/36) เทวดาทูลถามว่า “บุคคลให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้วรรณะ ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้จักษุและบุคคลเช่นไรชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ทูลถามพระองค์ ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า(15/137/36) “บุคคลให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ ให้ยานพาหนะชื่อว่าให้ความสุข ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุ และผู้ที่ให้ที่พักพาอาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนผู้ที่พร่ำสอนธรรมชื่อว่าให้อมฤตธรรม “
อาหารคือสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับมนุษย์หากอดอาหารมาหลายวัน แม้คนที่มีกำลังมากก็ย่อมจะเสื่อมกำลังลงได้ มนุษย์อยู่ได้ด้วยอาหาร ในอรรถกถากินททสูตรสังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 1 หน้าที่ 240 อธิบายไว้สรุปว่าบุคคลแม้มีกำลังมากแต่ไม่ได้กินอาหารหลายวันก็ไม่อาจเพื่อจะลุกขึ้นได้ ส่วนบุคคลผู้มีกำลังน้อยได้กินอาหารแล้วก็ย่อมถึงพร้อมด้วยกำลังได้
บุคคลแม้มีรูปงามแต่มีผ้าสกปรกดังผ้าขี้ริ้ว หรือไม่มีผ้าเลยย่อมเป็นผู้น่าเกลียดถูกเหยียดหยาม ไม่น่าดู บุคคลมีผ้าปกปิดดีแล้วย่อมงามราวกะเทพบุตรเทพธิดา เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าบุคคลให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ
ยานทั้งหลายมีหัตถิยาน(ยานช้าง) เป็นต้น ในบรรดายานเหล่านั้น ยานช้าง ยานม้า ย่อมไม่สมควรแก่สมณะ การให้ไปด้วยรถก็ไม่สมควรเหมือนกัน ยานที่สมควรแก่สมณะก็คือรองเท้าสำหรับสมณะผู้รักษาอยู่ซึ่งศีลขันธ์ เพราะฉะนั้น บุคคลให้รองเท้า ไม้เท้าคนแก่ เตียง ตั่ง อนึ่งบุคคลใดย่อมชำระหนทาง ย่อมทำบันได ย่อมทำสะพาน ย่อมมอบเรือให้แม้ทั้งหมดนี้ก็ชื่อว่าให้ยานพาหนะเหมือนกัน ยานพาหนะจึงอธิบายได้หลายอย่างไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะรถยนต์เท่านั้น แต่หมายถึงเครื่องช่วยในการเดินทาง คนแก่ต้องการไม้เท้า ส่วนคนหนุ่มสาวอาจต้องการรถยนต์ก็ได้ ทั้งไม้เท้าและรถยนต์ก็ได้ชื่อว่าเป็นยานเหมือนกัน
ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุ เพราะความที่บุคคลทั้งหลาย ถึงแม้มีตาก็ไม่สามารถมองเห็นในที่มืดได้ ผู้ให้ประทีปโคมไฟนั้นย่อมได้แม้ซึ่งความถึงพร้อมแห่งทิพยจักษุเหมือนพระอนุรุทธเถระตามประวัติของพระอนุรุทธเถระนั้นเมื่อครั้งเกิดเป็นกุฎุมพีคนหนึ่งได้ตั้งความปรารถนาเป็นผู้มีจักษุทิพย์ได้ถวายประทีปหลายพันดวงแก่พระพุทธเจ้าและปรารถนาเป็นผู้มีทิพยจักษุ(ตาทิพย์) จากนั้นจึงบำเพ็ญบารมีจนเต็มและได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าดังที่แสดงไว้ใน อังคุตรนิกาย เอกนิบาต(20/146/24) ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอนุรุทธะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีทิพยจักษุ”
หากคนเราไม่มีบ้านแม้จะกินอิ่ม มีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยสดงดงามสักปานใดก็ตาม หรือมีรถยนต์คันงามสักเพียงใดก็ตาม แต่หากไม่มีที่อยู่อาศัยหรือบ้านพักก็ย่อมจะลำบาก จะนอนบนรถตลอดไปคงไม่สะดวก แต่หากมีบ้านพักที่สะดวกสบายย่อมนอนหลับได้เต็มคืน ตื่นได้เต็มที่ ทุกอย่างจึงอยู่ที่บ้าน ดังนั้นคำว่า “ให้ที่อยู่อาศัย” จึงได้ชื่อว่าเป็นการให้ทุกอย่าง
ใกล้ช่วงเทศกาลเข้าพรรษาแล้วใครอยากจะทำบุญอย่างไรนั้น เลือกเอาได้ตามสะดวก นอกจากนั้นยังมีคนที่ยังยากจนข้นแค้นอีกมากที่ไม่มีอันจะกิน เด็กกำพร้า คนชรา คนอนาถา คนเหล่านี้บางคนไร้ญาติขาดมิตร อาหารที่จะกินแต่ละวันก็หายาก เสื้อผ้าที่ป้องกันความร้อนและหนาวเย็นก็หาลำบาก หากใครคิดจะทำบุญกับคนเหล่านี้ก็ย่อมจะได้กุศล การอยากให้คนอื่นให้มีความสุขคือคนที่มีเมตตา ส่วนผู้ที่ปรารถนาอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ คนนั้นคือคนมีกรุณา ทั้งเมตตาและกรุณาเป็นธรรมฝ่ายกุศล จะช่วยคนให้พ้นทุกข์หรือช่วยคนให้มีความสุข เราสามารถเลือกได้ด้วยตัวเราเอง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
06/07/54