อาทิตย์ก่อนไปเดินทางจังหวัดนครราชสีมา ตามสองข้างทางเต็มไปด้วยป้ายหาเสียงของเหล่าบรรดานักการเมืองทั้งหลายหลากหลายพรรค ป้ายหาเสียงจึงเป็นเหมือนการโฆษณาขายสินค้า บางพรรคขายความฝันถึงอนาคตอันสดใสหากเลือกตนเองเข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎร บางพรรคขายผลงานในอดีตที่ผ่านมาว่าเมื่อครั้งที่เป็นรัฐบาลบริหารประเทศได้ทำความเจริญรุ่งเรืองอะไรให้แก่ประเทศชาติและประชน บางพรรคเพิ่งตั้งใหม่ คนก็ใหม่จะขายทั้งอดีตและอนาคตไม่ได้ จึงเสนอขายคุณสมบัติของตนเองว่าดีอย่างไร เก่งอย่าง มีการศึกษาอะไรบ้าง
เรื่องของคุณสมบัตินั้นในสมัยพุทธกาลกษัตริย์และพราหมณ์ถือว่าเป็นชนชั้นสูงในสังคม บางสมัยกษัตริย์สูงกว่าพราหมณ์ บางครั้งพราหมณ์สูงกว่ากษัตริย์ แต่ถ้ากษัตริย์ที่มาจากวรรณะพรามหณ์คุณสมบัติจึงสูงส่งเพิ่มขึ้นไปอีก ในสมัยนั้นอินเดียโบราณยังเคร่งครัดในระบบวรรณะโดยแบ่งมนุษย์ออกเป็นวรรณะคือกษัตริย์ พรามหณ์ แพศย์ ศูทร
กษัตริย์คือนักปกครอง พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรม แพศย์พวกพ่อค้า และศูทรคือพวกคนงาน ชนชั้นนักปกครองจึงตกอยู่ในมือของกษัตริย์และพราหมณ์มานาน ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังแคว้นอังคะ มีเมืองจัมปาเป็นเมืองหลวงซึ่งมีโสณทัณฑพรามหณ์เป็นผู้ครองเมือง โสณทัณฑพรามหณ์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า สนทนากันสักพักมาถึงเรื่องของคุณสมบัติของความเป็นพราหมณ์ ข้อความมีปรากฎในโสณทัณฑสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (9/185/123) ความว่าพระพุทธะเจ้าได้ตรัสถามพราหมณ์โสณทัณฑะว่า “ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์เท่าไร พวกพราหมณ์จึงบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็พึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย”
โสณทัณฑพราหมณ์ตอบว่า “บุคคลประกอบด้วยองค์ห้าประการ พวกพราหมณ์ย่อมบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ในโลกนี้จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. เป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ
2. เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะพร้อมทั้งประเภทอักษรมีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ห้าเป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ
3. เป็นผู้มีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพรรณคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย
4. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน
5. เป็นบัณฑิต มีปัญญาเป็นที่หนึ่งหรือที่สองของพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน
ภาษาในพระไตรปิฎกแสดงไว้อย่างนั้น แต่หากจะแปลตามสำนวนภาษาในสมัยปัจจุบันก็จะได้ความว่า “ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ต้องมีคุณสมบัติห้าประการคือ(1) มีชาติดี เกิดจากมารดาบิดาที่เป็นพราหมณ์สืบเชื้อสายมาเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ (2) ท่องจำมนต์ในพระเวทได้ (3) มีรูปงาม (4) มีศีล (5)เป็นผู้ฉลาดมีปัญญา
พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า ถ้าให้ตัดคุณสมบัติบางข้อออกจะตัดอะไรออกก่อนจึงจะไม่ขาดคุณสมบัติของความเป็นพราหมณ์
โสณทัณฑพราหมณ์ตอบว่า “เป็นผู้มีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส” ตัดออก็ได้ เพราะพรามหณ์บางคนอาจมีรูปร่างที่ไม่งามก็ได้
หากจะให้เหลือสามข้อจะตัดอะไรได้อีก พราหมณ์ตอบว่า “เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท” ตัดออกก็ได้
ถ้าจะให้เหลือสองข้อจะตัดอะไรได้อีก พราหมณ์ตอบว่า “มีชาติดีเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา”
หากจะให้เหลือคุณสมบัติข้อเดียวจะได้หรือไม่ พรามหณ์บอกว่า “ลดอีกไม่ได้แล้ว ที่ไม่ได้เพราะว่าปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ และศีลอันปัญญา ชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น”
คุณสมบัติของพราหมณ์ทั้งห้าประการนั้น หากจะเหลือคุณสมบัติไว้สองประการก็จะต้องเป็นคนมีศีล และมีปัญญา ในพระสูตรนี้บ่งความว่า คนดีนั้นจะต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อยสองข้อคือมีศีลหมายถึงความประพฤติดีทางกายและวาจา มีปัญญามีความรู้ความสามารถ คนจึงมีค่าเท่าเทียมกัน ไม่เกี่ยวกับกำเนิด ความรู้ หรือมีรูปงามแต่อย่างใด เพราะถ้าคนไม่มีศีลและปัญญาแล้ว อาจจะมีส่วนทำให้สังคมเกิดความวุ่นวายได้ง่าย
โสณทัณฑพราหม์ได้ยกตัวอย่างอังคะมาณพผู้เป็นหลานว่า(9/192/126) “ท่านทั้งหลาย นี้อังคกะมาณพหลานของ ข้าพเจ้า พวกท่านเห็นหรือไม่ พราหมณ์เหล่านั้นตอบว่า เห็นแล้วท่าน พราหมณ์โสณทัณฑะกล่าวต่อไปว่า อังคกะมาณพเป็นคนมีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก มีพรรณคล้ายพรหม มีรูปร่างคล้ายพรหม น่าดูน่าชมไม่น้อย ในบริษัทนี้ยกพระสมณโคดมเสียไม่มีใครมีวรรณเสมอ อังคกะมาณพเลย อังคกะมาณพเป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ คัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ห้า เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และมหาปุริสลักษณะ ข้าพเจ้าเป็นผู้บอกมนต์แก่เธอ เธอเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาบิดามีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ ด้วยอ้างถึงชาติ ข้าพเจ้ารู้จักมารดาบิดาของเธอ ถึงอังคกะมาณพจะพึงฆ่าสัตว์บ้าง จะพึงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้บ้าง จะพึงคบหาภริยาของบุคคลอื่นบ้าง จะพึงกล่าวเท็จบ้าง จะพึงดื่มน้ำเมาบ้าง ในเวลานี้ ในฐานะเช่นนี้วรรณะจักทำอะไรได้ มนต์จักทำอะไรได้ และชาติจักทำอะไรได้ ด้วยเหตุว่าบุคคลผู้เป็นพราหมณ์เป็นผู้มีศีลมีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน และเป็นบัณฑิต มีปัญญาเป็นที่หนึ่งหรือที่สองของปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์สองเหล่านี้แล พวกพราหมณ์จะบัญญัติว่า เป็นพราหมณ์ก็ได้ และเมื่อเขาจะกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์ ก็จะพึงกล่าวได้โดยชอบ ทั้งไม่ต้องถึงมุสาวาทด้วย”
พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองว่า (9/192/126) “ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้อนี้เป็นอย่างนั้นปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีใน บุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น”
โสณทัณฑพราหมณ์ในพระสูตรนี้มีหน้าเป็นผู้บริหาร เป็นผู้ปกครอง เป็นผู้มีอำนาจในกรุงจัมปา เขาจึงเข้าใจทั้งระบบวรรณะและระบบการปกครองดี เรื่องของคุณสมบัติของพรามหณ์จึงเป็นเหมือนคุณสมบัติของนกปกครองแด้วย ซึ่งสรุปได้สั้นๆว่าต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อยสองประการคือเป็นคนดีมีศีลธรรม และฉลาดรอบรู้มีปัญญา หากขาดคุณสมบัติทั้งสองประการนี้ก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นนักปกครอง
บางคนรูปงามพูดจาไพเราะน่าเชื่อถือ มีชาติกำเนิดดี แต่หากขาดคุณสมบัติอีกสองข้อคือไม่มีศีลเที่ยวเข่นฆ่าทำลายล้างคนอื่น ลักทรัพย์ปล้นทรัพย์คนอื่น ผิดลูกเมียคนอื่น กล่าวเท็จกล่าวถ้อยคำไม่จริง พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ คนเช่นนี้ไม่ควรจะมีคุณสมบัติของความเป็นพรามหณ์ได้เลย
หรืออีกข้อหนึ่งอย่างเป็นคนไม่ฉลาดขาดปัญญา บริหารชาติบ้านเมืองนำไปสู่ความล่มจม บ้านเมืองขัดแย้ง สินค้าแพงค่าแรงต่ำเป็นต้น เขียนไปเขียนมาทำไมมันคล้ายคุณสมบัติของนักการเมืองไทยบางคนก็ไม่รู้ สวยเฉียบขาดและหล่อเลือกได้ แต่จะเลือกใครดี
วันนั้นเดินทางกลับจากโคราชเย็นค่ำย่ำสนธยาแล้ว แต่ก็ยังมีแสงไฟจากสองข้างทางทำให้มองเห็นป้ายหาเสียงของนักการเมืองเรียงรายขายฝัน ต่างจังหวัดมีแปลกกว่ากรุงเทพฯ บางพรรคโชว์ภาพคนที่ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือหากไม่มีภาพก็บอกชื่อกันตรงๆกันไปเลย ส่วนที่กรุงเทพฯมีป้ายหาเสียงหลากหลายพรรคการเมืองเต็มไปหมด ดูแล้วเพลินดี เพราะป้ายที่มีมากที่สุดยังคงเป็นคนรูปหล่อและคนสวย แข่งสวยและแข่งหล่อ ซึ่งความเป็นคนรูปงามแม้จะทำให้มีสีสัน แต่ในโสณทัณฑสูตร โสณทัณฑพราหมณ์ตัดออกเป็นข้อแรก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
30/06/54