หลายคนอยากปฏิบัติธรรม อยากนั่งสมาธิ อยากเดินจงกรม อยากภาวนา แต่ไม่แน่ใจว่าเวลาที่ทำไปแล้วจะถูกต้องหรือไม่ จะได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่ เกิดความสงสัยขึ้นในใจ แต่เวลาสอบถามจากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็มักจะตอบกันไปคนละทาง ตามแนวการสอนที่ตนเองถนัด บางสำนักเน้นที่การรักษาศีล บางสำนักบอกว่าเริ่มต้นที่สมาธิ แต่มีบางสำนักบอกว่าให้ใช้ปัญญาพิจารณาเลย ไม่ต้องคำนึงถึงศีลหรือสมาธิ เพราะเมื่อปัญญาเกิดขึ้น ทั้งศีลและสมาธิก็จะตามมาเอง
ครั้งหนึ่งผู้เขียนเข้าไปกราบเรียนถามพระนพีสิพิศาลคุณ(ทองอินทร์) อดีตเจ้าอาวาสวัดสันติธรรม และอดีตเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงนั้นหลวงพ่อยังเป็นพระครูสันตยาธิคุณ ปัจจุบันมรณภาพแล้ว เล่าให้ท่านฟังว่าจิตผมไม่ยอมเป็นสมาธิ พอเริ่มนั่งเมื่อไหร่มักจะมีเรื่องวุ่นวายต่างๆแทรกเข้ามา ผมจะเริ่มต้นในการภาวนาอย่างไรดี หลวงพ่อนั่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะย้อนถามว่า “ท่านมหาอ่านหนังสือมามาก ทำให้ฟุ้งจึงคิดมาก จิตไม่ค่อยเป็นสมาธิ เพราะมีความเคลือบแคลงสงสัยมาก โดยเฉพาะส่วนหนึ่งมาจากตำราที่อ่าน ซึ่งก็ว่ากันไปตามที่ตนเข้าใจ ท่านมหาลองวางหนังสือเลิกอ่านหนังสือสักหนึ่งอาทิตย์ และเริ่มต้นทำใจให้เป็นสมาธิก่อน พอมีสมาธิเป็นฐานแล้วค่อยใช้ปัญญาพิจารณา ศีล สมาธิ ปัญญาต้องทำงานควบคู่กันไป ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แต่จะเริ่มต้นจากส่วนไหนก่อนก็ได้”
ผู้เขียนลองตามคำแนะนำของหลวงพ่อ จิตก็ยังไม่ยอมเป็นสมาธิเพราะเจ้าความคิดมันวิ่งพล่านเหมือนถูกขัง จึงดิ้นรนหาทางออกอยู่ร่ำไป อีกหนึ่งอาทิตย์จึงไปกราบหลวงพ่ออีกครั้ง พร้อมทั้งเล่ารายละเอียดความเป็นไปต่างให้หลวงพ่อฟัง

หลวงพ่อบอกว่า “ผมมาคิดดูแล้ว พวกนักศึกษาและนักวิชาการทั้งหลายนี่ทำจิตให้สงบได้ยากเพราะต้องมีความเกี่ยวกับเรื่องของการคิดอยู่เสมอ มักจะสงสัยอยู่เรื่อย เจ้าความเคลือบแคลงสงสัยพระพุทธเจ้าเรียกว่าตะปูตรึงใจ ต้องถอนตะปูออกก่อนจึงจะเริ่มต้นได้ จากนั้นหลวงพ่อก็หยิบพระไตรปิฎกมาให้ดู
ตะปูตรึงใจมีปรากฎในเจโตขีลสูตร อังคุตรนิกาย ปัญจกนิบาต (20/205/222) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตะปูตรึงใจห้าประการนี้คือ(1)ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในศาสดา ภิกษุใด ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในศาสดาจิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร (2) อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในธรรม ภิกษุใด ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในธรรมจิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร (3)อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์ ภิกษุใด ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์ จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆเพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร (4)อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา ภิกษุใด ย่อมเคลือบแคลงสงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร (5) อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมโกรธ มีใจไม่แช่มชื่น มีจิตอันโทสะกระทบแล้ว กระด้างในพวกเพื่อนพรหมจรรย์ จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร เพื่อความประกอบเนืองๆ เพื่อกระทำติดต่อ เพื่อบำเพ็ญเพียร

จากพระสูตรนั้นสรุปได้ว่า หากยังมีความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา(ศีล สมาธิ ปัญญา) และยังมีความโกรธ จิตใจไม่เบิกบาน จิตใจไม่แช่มชื่น ก็เป็นเหมือนตะปูที่ตอกติดตรึงอยู่ในจิตใจ จะทำอะไรก็มีความติดขัดไปหมด อย่าว่าปฏิบัติธรรม บำเพ็ญสมาธิภาวนาเลย แม้แต่การทำงานอย่างอื่นหากเริ่มต้นด้วยความสงสัย งานที่ทำก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จ
ในช่วงนั้นผู้เขียนกำลังเรียน“ปรัชญา”ซึ่งก็ต้องอ่านหนังสือตำราทางวิชาการของนักเขียนต่างๆมากมาย ตำราส่วนมากมักจะแปลมาจากนักคิดทางตะวันตก อาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่เรียนทางด้านปรัชญาคือ“ความสงสัย”เพราะปรัชญาเชื่อกันว่า ความสงสัยเป็นบ่อเกิดของความรู้ พอนำความสงสัยมาใช้ในการปฏิบัติธรรม เจ้าความสงสัยกลับกลายเป็นเหมือนตะปูที่พร้อมจะตอกตรึงใจไม่ให้เข้าสู่ความสงบได้ วิชาแต่ละอย่างย่อมมีขอบข่ายต่างกัน การสร้างอาคารบ้านเรือนที่ทำด้วยไม้ สิ่งสำคัญคือตะปูที่จะต้องทำให้ยึดแน่น ไม่หวั่นไหว แต่สำหรับจิตใจมนุษย์แล้วหากยังมีตะปูตรึงใจอยู่ก็ยากที่จะเข้าสู่ทางแห่งสันติสุขได้
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
03/05/54