เคยถามนักเขียนท่านหนึ่งว่าหนังสือประเภทไหนที่ขายดี คำตอบที่ได้รับกลับเหนือความคาดหมาย นักเขียนท่านนั้นบอกว่า หนังสือเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม กรรมบันดาล ตายแล้วไปไหน โลกแตก คำทำนายเป็นต้น หรือธรรมะง่ายๆสำหรับชาวบ้าน ก่อนจะสรุปสั้นๆว่า “หนังสือที่พระสงฆ์ที่พอมีจะความรู้หน่อยไม่ค่อยจะอ่านนั่นแหละ” ด้วยเหตุผลว่าเนื้อหาในหนังสือนั้นส่วนหนึ่งมาจากหลักสูตรนักธรรมชั้นใดชั้นหนึ่ง เมื่อเห็นชื่อหนังสือและเดาได้ว่าหนังสือควรจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร พระสงฆ์จึงไม่ค่อยจะซื้ออ่าน แต่ชาวบ้านชอบเรื่องแบบนี้ เขายังแนะนำว่าหากจะเขียนหนังสือให้ขายดีก็ต้องเขียนเรื่องเกี่ยวกับชาวบ้าน บังเอิญว่ายังไม่คิดจะเขียนหนังสือขาย คิดแต่จะเขียนหนังสือแจกฟรี จึงยังไม่เขียนตามกระแส ยังคงยึดถือนโยบายเดิมคือเขียนตามใจฉัน
วันหนึ่งเดินเข้าร้านหนังสือมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย จึงลองดูหนังสือที่ไม่เคยคิดจะอ่านมาก่อนอย่างที่นักเขียนท่านนั้นกล่าวถึง จึงได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่าหนังสือประเภทที่เขียนง่ายๆมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับธรรมที่ประยุกต์เข้ากับสมัยปัจจุบันคงขายดีจริง เพราะแต่ละเล่มได้รับการตีพิมพ์เล่มละหลายครั้ง หนังสือประเภทนี้ไม่ค่อยได้อ่านจริงๆ วันนั้นตัดสินใจซื้อมาสองเล่มบอกชื่อก็ได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวออกมาติดต่อกันถึงสิบกว่าเล่มแล้ว และเกิดใหม่บนโลกใบเดิม นี่ก็พิมพ์ครั้งที่สองแล้ว
ซื้อมาแล้วก็ยังอ่านไม่จบสักเล่ม พลางคิดเขาข้างตัวเองว่า เราน่าจะเขียนหนังสือพิมพ์ขายได้ แต่จะให้ขายดีเหมือนคนอื่นๆอันนี้ไม่ค่อยแน่ใจ เขียนหนังสือขายกับเขียนหนังสือฟรีนี่อารมณ์ต่างกัน เขียนเพื่อขายก็ต้องคำนึงถึงคนซื้อว่าจะขายให้ใคร ลูกค้ากลุ่มไหน จะเขียนให้ใครอ่าน ส่วนเขียนฟรีนั้นอยากเขียนอะไรก็เขียน มีเรื่องอะไรมาสะกิดต่อมจินตนาการก็เขียนไปตามเรื่อง จากนั้นก็หาหลักฐานจากคัมภีร์พระไตรปิฎกมาอ้างอิงมาอธิบายแนวความคิดก็จบเรื่องแล้ว อย่างน้อยก็เป็นแนวทางให้ได้อ่านพระไตรปิฎกทุกวัน เขียนหนังสือเผยแผ่ทางเว็บไซต์มาหลายปีแล้วก็ยังเดาไม่ออกบอกไม่ได้ว่าควรเขียนเรื่องอะไรจึงจะมีคนอ่าน บางเรื่องไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนอ่านแต่ก็ยังมีเช่นเรื่องเกี่ยวกับภาษาบาลี จิตรกรรมฝาผนังเป็นต้น ที่เขียนเพียงเพราะอยากเขียนตามหลักวิชาเท่านั้น ยังพอมีคนเข้ามาดูพอสมควร แม้เว็บไซต์จะไม่โด่งดัง แต่ก็ยังไม่เคยถูกปิด
หนังสือ “เกิดใหม่บนโลกใบเดิม” เป็นหนังสือแนวอัตตชีวประวัติของแม่ชี ดร.ทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม ผู้เขียนก็ไม่เคยพบกับแม่ชีมาก่อน เพียงเคยอ่านเรื่องบางเรื่องจากเว็บไซต์ของแม่ชี ฟังแม่ชีตอบปัญหาแล้วต้องบอกว่าเป็นคนปากกล้าคนหนึ่ง บางครั้งพูดตรงๆเลยกลายเป็นสองแง่สองมุมก็มี อย่างเรื่อง “หอยแก้กรรม”บังเอิญเรื่องนี้กลายเป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์พอดี
พอมีข่าวเกี่ยวกับแม่ชีเจ้าของประวัติในหนังสือ“เกิดใหม่บนโลกใบเดิม” จึงย้อนกลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้อีกที แต่ที่เป็นข่าวจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมต้องเข้าพบนั้นเป็นคลิปที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตโดยเป็นภาพแม่ชีทศพรสอนโยมผู้หญิงในทำนองที่ว่า ผู้หญิงคนดังกล่าวเจอแต่ผู้ชายไม่จริงใจซึ่งในคลิปนั้นแม่ชีได้แนะวิธีแก้กรรมโดยการให้มีเพศสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่า 2 ครั้ง แล้วกรรมจะหมดก่อนจะให้กอดชายที่เป็นลูกศิษย์ที่อยู่ในคลิปและให้เงิน 200บาทซึ่งจะทำให้กรรมหมด ส่วนอีกรายเป็นหญิงสาวที่แฟนนอกใจ แม่ชีก็ให้แก้กรรมโดยการแนะนำให้เอาฝาหอยไปปิดที่ประตูบ้านแล้วสิ่งไม่ดีจะไม่สามารถเข้ามาได้ โดยเฉพาะหอยตัวเองจะไม่ถูกย่ำยี ซึ่งจากการให้คำแนะนำดังกล่าวถือเป็นความไม่เหมาะสม ในวันนี้จึงได้มาทำการพูดคุยถึงพฤติกรรม ซึ่งหลังจากนี้ถ้ายังมีความไม่เหมาะสมดังกล่าวอยู่ก็คงจะต้องใช้มาตรการทางการปกครองเข้าดำเนินการ” (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 27/04/54)
มีเรื่องจนกลายเป็นเหตุให้รัฐมนตรีต้องแถลงข่าวก็ต้องถือว่าเป็นข่าวเด่นพอสมควร พอย้อนกลับเข้าไปดูในเว็บไซต์ http://www.thossaporn.com/ อีกที คลิปที่เป็นข่าวเรื่อง “หอยแก้กรรม” ถูกลบทิ้งไปแล้ว ไม่นานนักเรื่องอื่นๆก็พลอยถูกลบไปด้วย บางเรื่องลบทิ้งในขณะที่กำลังดูอยู่ก็มี เลยไม่รู้ว่าแม่ชีสอนไม่เหมาะสมอย่างไร การจะตัดสินว่าใครผิดใครถูกต้องฟังให้จบกระบวนความจึงจะตัดสินได้ว่าแม่ชีสอนผิดหรือถูก แต่สิ่งที่แม่ชีสอนนั้นตรงกับความต้องการของประชาชน พยายามดูจากการถามตอบระหว่างคนถามและแม่ชีในคลิปอื่นๆเช่นอดีตพระยาเทครัว เหตุเพราะสินสอด เรื่องสามีภรรยา เป็นต้น คลิปเหล่านี้ย้อนกลับมาดูอีกทีถูกลบทิ้งไปแล้วเหมือนกัน แทบทุกเรื่องจะต้องย้อนกลับไปยังอดีตชาติของผู้ถาม ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือเท็จ แม่ชีอ้างว่ารู้เพราะการทำสมาธิ ฟังแม่ชีตอบปัญหาแล้ว มีความรู้สึกว่าแม่ชีเก่งตอบปัญหาได้ถูกใจของผู้ถาม แต่เจ้าความถูกใจอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ อาจจะผิดหรือถูกก็ได้
หลายเรื่องที่ได้ดูแม่ชีมักจะโยงถึงเรื่องกรรมเก่าในอดีตชาติ ว่าเคยทำอะไรมาก่อนเคยเกิดเป็นอะไร ทำไมปัจจุบันจึงประสบกับเรื่องแบบนี้ การพูดเรื่องอดีตชาตินั้นถ้าไม่รู้จริงพูดด้วยการคาดเดามักจะมีปัญหาตามมา เพราะเรื่องในอดีตชาตินั้นคนที่รู้มักจะเป็นผู้เป็นที่เชื่อกันว่าจะต้องมีฌาณสมาบัติหรือคุณวิเศษสามารถรับรู้เรื่องในอดีตได้ แต่คนที่มีคุณวิเศษจริงๆก็มักจะไม่ค่อยพูด
เรื่องชาดกในพระไตรปิฎกส่วนหนึ่งก็มาจากอดีตชาติของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่บำเพ็ญบารมี หรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนอื่นๆที่เชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เล่าเรื่องเอง ไม่ค่อยมีสาวกรูปใดเล่าเรื่องอดีตชาติมากนัก ในวงการคณะสงฆ์มักจะต้องหลีกเลี่ยงเรื่องในทำนองนี้เพราะมีวินัยข้อหนึ่งบัญญัติไว้ในขั้นร้ายแรงมากคือ “การอวดอุตตริมนุสสธรรม”ดังที่แสดงไว้ในมหาวิภังค์ ปฐมภาค สิกขาบทที่สี่ แห่งปาราชิกสิกขาบท (1/232/334)ความว่า “ภิกษุใดไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อยๆเป็นเท็จเปล่าๆ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้” การอวดคุณวิเศษสำหรับพระภิกษุพระพุทธเจ้าจึงกำหนดโทษไว้หนักมากคือขาดจากความเป็นภิกษุทันที
คำว่า “อุตตริมนุสสธรรม” หมายถึงคุณอันยิ่งยวดของมนุษย์ได้แก่ธรรมวิเศษมีการสำเร็จฌานและมรรคผลเป็นต้น ในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค (เล่มเดียวกัน)ระบุว่า “อุตตริมนุสสธรรมได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ มรรคภาวนา การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส ความเปิดจิต ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า”
ถ้าไม่รู้จริงต้องการที่จะอวดเพื่อวัตถุประสงค์อะไรก็ตามมีโทษหนัก ถึงหากรู้จริงมีธรรมวิเศษอยู่จริง เมื่อพูดกับฆราวาส ก็ยังต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดังที่แสดงไว้ในมุสาวาทวรรค ปาจิตตีย์ (2/305/308)ความว่า “อนึ่งภิกษุใดบอกอุตตริมนุสสธรรมแก่อนุปสัมบัน เป็นปาจิตตีย์เพราะมีจริง” คำว่า “อนุปสัมบัน” หมายถึงคนที่ไม่ใช่นักบวช หรือไม่ใช่พระภิกษุ แม้แต่สามเณรก็ยังจัดเป็น "อนุปสัมบัน"ส่วนภิกษุต้องผ่านพิธี "อุปสัมปทา แปลว่าการเข้าถึง การอุปสมบท" ผู้ที่ผ่านพิธีนี้จึงเรียกว่าเป็น "อุปสัมบัน" แปลว่า เข้าถึงแล้ว อุปสมบทแล้ว
เมื่อมีการกำหนดโทษไว้อย่างนี้ พระภิกษุแม้จะมีคุณวิเศษท่านจึงพูดเลี่ยงๆไป ไม่ค่อยพูดตรงๆ เพราะอาจจะผิดวินัยสงฆ์ได้ พระสงฆ์ที่พูดเรื่องทำนองนี้มักจะถูกเพ่งเล็งหรืออาจจะถูกปรับอาบัติได้ง่ายๆ จึงไม่ค่อยมีพระภิกษุรูปใดพูดเรื่องในทำนองนี้ หรือที่ไม่พูดอาจไม่รู้จริงๆก็ได้ การไม่พูดนั้นมีที่มาจากหลายสาเหตุ
ส่วนแม่ชีไม่ใช่พระสงฆ์จึงไม่น่าจะเข้าข่ายปรับอาบัติได้ เพราะแม่ชีถือศีลแปดย่อมพูดได้แสดงได้ อย่างกรณีของแม่ชีทศพร บางเรื่องฟังดูแล้วแม่ชีบอกว่าได้มาจากการทำสมาธิและสมาธิที่สามารถรู้อดีตชาติของคนอื่นๆได้นั้นก็ต้องสูงพอสมควรอาจจะถึงขั้นฌานสมาบัติ ซึ่งก็จัดอยู่ใน “คุณวิเศษ” อย่างหนึ่ง หากแม่ชีเป็นพระสงฆ์คงโดนตรวจสอบไปนานแล้ว
ผู้เขียนอ่านหนังสือ “เกิดใหม่บนโลกใบเดิม” จบ ยังชื่นชมชีวิตการต่อสู้ที่ไม่ยอมแพ้ของผู้หญิงคนหนึ่ง ตลอดแนวทางการปฏิบัติและแนวการสอนของแม่ชี ที่สอนได้ตรงกับความต้องการของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน ถามมาตอบไป ได้คำตอบทันทีไม่ต้องมีพิธีกรรมให้ยุ่งยาก ส่วนท่านรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมจะเฝ้าตรวจสอบอย่างไรนั้นก็ว่ากันไปตามกระบวนการ แม่ชีดอกเตอร์ท่านนี้จะทำอย่างไรนั้น เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ต้องคอยติดตามกันต่อไป
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
28/04/54