ในแต่ละวันอารมณ์ของมนุษย์นั้นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บัดเดี๋ยวโกรธ ประเดียวเศร้า เหงา ซึม โศก รัก โลภ โกรธ หลง ตามธรรมดาของปุถุชนที่อารมณ์ไปเกี่ยวข้องด้วย บางคนอารมณ์ร้อน บางคนอารมณ์สับสนวุ่นวายมองเห็นสิ่งรอบข้างไม่น่าอภิรมย์ อาจทำให้เป็นบ้าได้ง่ายๆ หลวงพ่อพระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล)ได้เขียนไว้ในมงคลชีวิตประสิทธิพรตอนหนึ่งว่า “ถ้าไม่อยากเป็นคนบ้าให้รักษาอารมณ์”
สมัยที่หลวงพ่อพระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงยังมีชีวิตอยู่นั้น หลวงพ่อชอบเขียนกลอนโดยเฉพาะกลอนเก้าเช่น
“แดนสงบ พบที่ใจ ใช่ที่อื่น
ใจชุ่มชื่น ด้วยความดี ใจมีศีล
ใจสงบ พบความสุข ทั่วแดนดิน
ถิ่นสงบ พบได้ ที่ใจเอย”ฯ
ที่จริงก็คือกลอนแปด แต่หลวงพ่อจะเพิ่มคำกลางเข้ามาอีกคำ เพื่อให้สะดวกต่อการเขียนอย่างหนึ่ง และทำให้จดจำง่ายได้อีกทางหนึ่ง ในบทกลอนแต่ละบทจึงมีแปดคำบ้างเก้าคำบ้างผสมกันไป เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
พอถึงปีใหม่แต่ละปีก็จะมีหนังสือเล่มเล็กๆไว้คอยแจกให้แก่ผู้ที่มาอวยพรปีใหม่ภายใต้ชื่อว่า “มงคลชีวิต ประสิทธิพร” ภายในก็จะเป็นคำสุภาษิตสั้นๆเป็นข้อเตือนใจให้คนทำความดี หนังสือเล่มนี้พิมพ์ทุกปีๆละหลายหมื่นเล่ม ผู้เขียนได้รับแจกเล่มสุดท้ายเมื่อปีพุทธศักราช 2550 ตอนนั้นไปกราบหลวงพ่อที่วัดเจดีย์หลวง ท่านจึงให้หนังสือมาหลายเล่ม นับจากวันนั้นมาก็ไม่ได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่อีกเลย จนกระทั่งเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาจึงได้เดินทางไปร่วมงานยี่สิบปีวิทยาเขตล้านนา คิดถึงหลวงพ่อจึงได้หยิบหนังสือที่หลวงพ่อเขียนไว้ขึ้นมาอ่าน
คติธรรมข้อหนึ่งในปีพุทธศักราช 2550 บทสุดท้ายที่หลวงพ่อเขียนไว้คือ “ถ้าไม่อยากเป็นคนบ้าให้รักษาอารมณ์” คติธรรมเหล่านี้ไม่มีคำอธิบาย จึงขึ้นอยู่กับการอธิบายและตีความของแต่ละบุคคล วันนี้ขออนุญาตตีความและขยายความคติธรรมของหลวงพ่อตามสำนวนของลูกศิษย์ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ครูเท่าใดนัก
เรื่องของคนบ้านั้นนิยมเรียกว่า “คนวิกลจริต” หมายถึงคนมีจิตผิดปกติ อาจจะมาจากหลายสาเหตุ แต่ส่วนมากจะมาจากการคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ยิ่งคิดยิ่งมึนงงสับสนจนหาทางออกไม่ได้ เรื่องที่ไม่ควรคิด ใครที่คิดเรื่องเหล่านี้อาจมีส่วนแห่งความเป็นบ้าได้มีแสดงไว้ในอจินติตสูตร อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต(21/77/79) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตยสี่ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อนคือพุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน วิบากแห่งกรรม ความคิดเรื่องโลก”
พุทธวิสัยอยู่เหนือวิสัยของคนทั่วไปเช่นทำไมเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อประสูติจึงเดินได้เจ็ดก้าวและเปล่งอาภิวาจา ดังที่ปรากฎในมหาปทานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค(10/26/11)ว่า “ธรรมดามีอยู่ดังนี้พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้วได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้านทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าวและเมื่อฝูงเทพดากั้นเศวตฉัตรตามเสด็จอยู่ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่าอันองอาจว่าเราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้มี”
มนุษย์ตามปกติกว่าจะเดินได้ พูดได้ต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่พระโพธิสัตว์ประสูติจากครรภ์มารดาก็เดินได้และพูดได้ คนทั่วไปจึงพยายามคิดและอธิบายตีความไปต่างๆนานา แต่ยิ่งอธิบายยิ่งสับสน นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เรื่องปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้ายังมีอีกมากมายหลายเรื่องเช่นการเดินทางไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ การแสดงยมกปาฏิหาริย์ เป็นต้น
ผู้ที่ได้ฌานสมาบัติก็เฉกเช่นเดียวกัน บางท่านเข้าฌานเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่ได้รับประทานอาหารเลย แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งผิดจากปกติวิสัยของคนทั่วไป ยิ่งนักบวชในอินเดียมีมากมายหลายประเภท บางคนแต่งตัวเหมือนคนบ้า แต่อาจจะเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติก็ได้
เรื่องวิบากแห่งกรรม และเรื่องโลกแม้จะมีผู้พยายามอธิบายไว้มากมายจนกลายเป็นศาสตร์ใหม่ๆขึ้นมากมายแต่ก็ยังมีเรื่องที่อยู่นอกเหนือเหตุและผลที่จะอธิบายได้อีกมากมาย
ทั้งสี่เรื่องใครคิดมากมีส่วนใกล้บ้า เพราะอารมณ์จะไม่ปกติ ส่วนคนที่บ้าตั้งแต่เกิดคือเกิดมาเป็นคนมีสติไม่สมบูรณ์ท่านว่าส่วนหนึ่งมาจากผลของการดื่มสุรา ดังหลักฐานที่ปรากฎในสัพพลหุสสูตร อังคุตรนิกาย (23/130/193)ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย การดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งการดื่มสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์”
หลวงพ่อพระพุทธพจนวราภรณ์เขียนเป็นคติธรรมไว้สั้นๆ จึงลองนำมาอธิบายขยายความตามที่นำเสนอมานี้ ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดจากวัตถุประสงค์ของหลวงพ่อก็ได้ หรือหากคนอื่นอธิบายอาจจะตีความไปได้อีกหลายเรื่อง คนที่มีอารมณ์คงที่จึงเป็นคนมีสติสมบูรณ์ แม้อยู่ในสังคมที่สับสนวุ่นวายก็ไม่บ้า ใครยังไม่อยากเป็นบ้าให้รักษาอารมณ์
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
17/02/54