วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ มีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใครคือมีเจดีย์ขนาดใหญ่ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางวัดมีอายุมากกว่าหกร้อยปี ได้รับการบูรณซ่อมแซมมาหลายครั้งแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเอกลักษณ์อันโดดเด่น แม้จะมีผู้พยายามบูรณะและลงทุนด้วยเงินทุนจำนวนมหาศาลมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังไม่มีใครเคยทำสำเร็จนั่นคือเป็นเจดีย์ไม่มียอด เพราะยอดเจดีย์ได้หักโค่นลงมาหลายร้อยปีแล้ว จึงปล่อยให้เป็นเจดีย์ยอดหักอยู่อย่างนั้น พระประธานภายในพระอุโบสถทั่วไปมักจะเป็นพระพุทธรูปนั่ง แต่ที่วัดนี้พระประธานมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่มีใครเหมือนคือพระประธานเป็นพระยืนปางห้ามญาติ นิยมเรียกว่า "พระอัฎฐารส"
ช่วงวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ 2554 ไปร่วมงานวันครบรอบยี่สิบปีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ วิทยาเขตแห่งนี้เริ่มก่อเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2534 โดยพระพรหมมุนี ประธานกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย ปรากฎในคำสั่งตอนหนึ่งว่า "เพื่อให้การศึกษาระดับอุดมศึกษาของพระภิกษุสามเณร ขยายออกไปอย่างกว้างขวางและได้ผลสมบูรณ์ตามวัตถุประสงค์ของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงให้จัดตั้งวิทยาเขตขึ้น ณ วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ชื่อว่า "สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา" มีพระเทพกวี(จันทร์ กุสโล) วัดป่าดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นรองเลขาธิการ วิทยาเขตล้านนา
ในยุคแรกเว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามเริ่มทำงานเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาเขตล้านาแห่งนี้ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2536 ซึ่งขณะนั้นเปิดรับนักศึกษาเป็นรุ่นที่สาม จึงทำหน้าที่ทั้งสอนและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฝึกอบรมและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีงานที่ชัดเจนเพราะพึ่งเริ่มก่อตั้ง โจทย์ที่ได้รับมาจากผู้บริหารมีเพียงสองข้อคือเผยแผ่ธรรมแก่นักเรียนนักศึกษา และเผยแผ่ธรรมแก่ประชาชนทั่วไป
เมื่อได้โจทย์จึงเริ่มงานโดยจัดทำโครงการค่ายคุณธรรมขึ้นตามคำแนะนำของศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม มีวิทยากรคือพระนักศึกษาซึ่งมีความชำนาญในการฝึกอบรมจากวัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม ปีแรกมีนักเรียนเข้าร่วมอบรมในโครงการหลายโรงเรียน โดยใช้สถานที่ในการฝึกอบรมคือวัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวังเชียงใหม่ ฝึกอบรมในช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ในยุคแรกๆมีไม่มากนัก แต่พออบรมไปได้สักพักจึงเริ่มมีจำนวนโรงเรียนต่างๆสมัครเข้าอบรมมากขึ้น และโครงการนี้ก็ยังดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีวิทยากรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาหลายรุ่นแล้ว อีกงานหนึ่งที่เริ่มดำเนินการในยุคนั้นคือการจัดทำวารสาร “ปัญญา” โดยเป็นบรรณาธิการเอง ซึ่งเป็นวารสารของวิทยาเขตซึ่งดำเนินการมาจนถึงปัจจุบันและมีรองศาสตราจารย์สมหมาย เปรมจิต เป็นบรรณาธิการ ส่วนอีกงานหนึ่งคือเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยคณาจารย์ประจำวิทยาเขตช่วยกันเขียน จากนั้นก็มีงานอื่นๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งปีพุทธศักราช 2540 เมื่อมีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง ขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์ที่ "พระธรรมดิลก" จึงได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิการบดีรูปแรก ปัจจุบันมีรองอธิการบดีรูปที่สี่แล้วคือ "พระราชพิศาลมุนี"ส่วนอดีตรองอธิการบดีรูปที่สามปัจจุบันคืออธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ในวันเปิดงานครบรอบยี่สิบปีวิทยาเขตล้านนานั้น สถานที่ปิดงานจัดตรงกลางระหว่างเจดีย์หลวงและพระวิหารหลวง กรรมการและผู้ร่วมงานจึงหันหน้าเข้าหาองค์พระเจดีย์หลวง จึงได้นั่งมองเจดีย์ที่กำลังถูกอาบไล้ด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์ในยามเช้า แสงแดดค่อยๆโอบล้อมเจดีย์ทีละน้อย เกิดประกายแห่งความงามที่สะท้อนจากองค์เจดีย์เหมือนภาพวาดของจิตกรอันลือชื่อเกิดเป็นความงามของธรรมชาติคือแสงแดดและก้อนอิฐ พลันก็กลับย้อนคิดว่าทำไมเจดีย์นี้จึงไม่สามารถต่อยอดเจดีย์ให้มียอดแหลมเหมือนเจดีย์อื่นๆ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าฐานของเจดีย์มีขนาดใหญ่โตมากเหมือนสังคมมนุษย์ที่มีคนจนมากกว่าคนรวย ปัจจุบันนิยมคนกลุ่มนี้ว่าคนรากหญ้า คนกลุ่มนี้แม้มีมากก็เหมือนฐานของเจดีย์ที่คอยค้ำจุนส่วนอื่นๆให้มั่นคง ถ้าฐานแข็งแรงเจดีย์ก็คงทน ถ้าคนรากหญ้าเข้มแข็งมีพออยู่พอกิน เศรษฐกิจของประเทศนั้นๆก็มั่นคง
ตรงกลางเจดีย์เริ่มมีขนาดเรียวเล็กลง เหมือนกับคนในสังคมชั้นกลางที่พอมีอยู่มีกินซึ่งในแต่ละสังคมมีจำนวนไม่มากนัก แต่คนกลุ่มนี้เป็นเหมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างยอดและฐานของเจดีย์ หากรากฐานมั่นคงคนพวกนี้ก็อยู่อย่างสะดวกสบายไร้กังวลเป็นมีฐานรองรับยอดเจดีย์ที่เข้มแข็ง ยอดแหลมของเจดีย์ก็สามารถทายท้าแดดลมฝนทนกับสภาพความแปรปรวนของธรรมชาติอย่างไม่หวั่นไหว
ยอดของเจดีย์ตามปกติจะมียอดแหลม เปรียบเหมือนคนในสังคมที่อยู่ในระดับสูงส่วนมากจะเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม คนพวกนี้มักจะมีตำแหน่งในการบริหารบ้านเมือง อาจเป็นรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ สมาชิกวุฒิสภาเป็นต้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ถึงจะมีจำนวนน้อยแต่ก็เป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศ นายกรัฐมนตรีมีคนเดียว เหมือนเจดีย์ที่มียอดแหลม อันบ่งบอกถึงปรัชญาว่านักปราชญ์ที่เป็นยอดคนมีจำนวนน้อย เหมือนเจดีย์ที่มียอดเดียว
นั่นเป็นหลักปรัชญาสำหรับการสร้างเจดีย์โดยทั่วไป แต่เจดีย์หลวงภายในวัดเจดีย์หลวงแห่งนี้เป็นเจดีย์ยอดหัก อาจบ่งถึงผู้ที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่เรียกว่านิพพานนั้นมีจำนวนน้อยหรืออาจจะไม่มีอยู่เลย น่าจะเป็นปรัชญาบ่งถึงยอดคนในปัจจุบันนี้หายากหรืออาจจะไม่มีเหลือออยู่เลยในปัจจุบัน
เจดีย์หลวงแห่งนี้ตามตำนานเล่าว่า ในปีพุทธศักราช 1997 พระเจ้าติโลกราชได้ทรงทำการขยายพระเจดีย์ให้ใหญ่โตกว่าเดิม ส่วนฐานเดิมกว้างเจ็ดวา ก็ขยายเป็น 27 วา ส่วนสูงจากเดิม 12 วา ก็ขยายเป็น 43 วา แต่ปัจจุบันเจดีย์มีฐานที่กว้างใหญ่ แต่ทว่าปลายยอดได้หักโค่นลงมาจึงกลายเป็นเจดีย์ไม่มียอดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
เจดีย์นอกจากจะใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังนิยมบรรจุอัฏฐิของผู้ครองนครอีกด้วย นอกจากนั้นหากมองเจดีย์ให้ดีก็จะเห็นปริศนาธรรมที่แฝงในเจดีย์ได้หลายอย่างเช่นมองจากสภาวะของสังคม หรือมองจากการบรรลุธรรม ฐานเจดีย์มีขนาดใหญ่หมายถึงคนที่พอจะรู้จักคำสอนของพระพุทธศาสนามีจำนวนมาก แต่โอกาสในการบรรลุธรรมมีน้อย ส่วนกลางของเจดีย์หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังมีน้อยลง ส่วนยอดที่ปกติจะมีปลายแหลมหมายถึงผู้ที่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังและเข้าถึงจุดสูงสุดของพระพุทธศาสนานั้นมีจำนวนน้อยมาก ในสมัยปัจจุบันยิ่งมีผู้ที่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์หมดสิ้นกิเลสแล้วยิ่งมีน้อยกว่าน้อย เจดีย์หลวงเป็นเจดีย์ไม่มียอดอาจจะเป็นเหตุที่แสดงว่าผู้ที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนานั้นหาได้ยากยิ่งนัก
หลังเปิดงานได้เดินไปเที่ยวชมนิทรรศการที่คณาจารย์และนักศึกษาวิทยาเขตล้านนาจัดขึ้น ผ่านไปได้ไม่กี่ซุ้มก็ได้พบภาพของตัวเองอยู่ถัดจากหลวงพ่อพระพุทธพจนวราภรณ์(จันทร์ กุสโล) อดีตรองอธิการบดีรูปแรก ยืนดูภาพตัวเองท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาที่กำลังชมนิทรรศการ มีนักศึกษาท่านหนึ่งดูภาพถ่ายแล้วหันมาดูเว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนาราม จากนั้นก็หันไปหาเพื่อนว่า “ทำไมท่านอาจารย์จึงมีหน้าตาเหมือนกับอดีตรองอธิการบดีในภาพถ่าย” จึงทำได้เพียงแต่ยิ้มที่มุมปาก เพราะหน้าตาในช่วงนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ชรามากขึ้นความทรงจำก็เลือนลาง แต่ใต้ภาพนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า “อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา รูปที่สอง” เหตุการณ์นั้นผ่านมาสิบสองปีแล้ว นักศึกษารุ่นใหม่ๆจึงเพียงแค่เคยได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่เคยเห็นหน้าที่แท้จริง บางคนอาจกำลังอุทิศส่วนกุศลให้ในฐานะผู้เคยอยู่ที่วิทยาเขตแห่งนี้มาก่อนด้วยซ้ำไป เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนอดีตก็เปลี่ยนไปด้วย สายน้ำไม่ไหลกลับฉันใด อดีตก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ฉันนั้น
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
16/02/54