ไปร่วมงานวันปฐมนิเทศพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธรรมยุต)รุ่นที่ 17 ที่วัดพระศรีมหาธาตุ ได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่งเป็นเพื่อนเก่าไม่ได้พบกันนานมาแล้ว ท่านเข้าอบรมพระธรรมทูตเพื่อที่จะเตรียมตัวไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ต่างประเทศ อีกไม่กี่วันต่อมาได้พบกับเพื่อนเก่าอีกคน พอเขายื่นนามบัตรให้ต้องสนเท่ห์เพราะนามบัตรระบุว่าเป็นดอกเตอร์ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นั่งสนทนาสักพักเพื่อนคนนั้นจึงได้ลากลับ แต่ทว่าภาพแห่งความหลังกลับผุดขึ้นมาในความทรงจำ เป็นภาพของเพื่อนทั้งสองท่านที่เคยดูหนังสือด้วยกันที่วัดป่าแห่งหนึ่ง
ปีนั้นจำได้ว่าใกล้สอบบาลีสนามหลวงแล้วซึ่งก็อยู่ในช่วงต้นเดือนมกราคมนี้แหละ ที่วัดมีงานประจำปีเสียงดังมากแม้จะพยายามดูหนังสือแล้วก็ยังทนเสียงจากงานวัดไม่ไหว จึงได้ชวนนักเรียนที่กำลังเรียนบาลีด้วยกันสามรูป จึงกลายเป็นพระภิกษุสองรูปและสามเณรอีกหนึ่งรูป เดินทางไปยังวัดป่าแห่งหนึ่งโดยเจ้าอาวาสมีความคุ้นเคยกัน ท่านเป็นพระมหาเปรียญแต่ปัจจุบันได้หันเหไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่าโพนพระเจ้า อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี อยู่ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีไม่ไกลนัก
วัดป่าโพนพระเจ้ามีซากเจดีย์เก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า สมัยที่เริ่มสร้างพระธาตุพนม จังหวัดนครพนมนั้น ชาวบ้านที่ได้ทราบข่าวจะนำสิ่งศักดิสิทธิ์หรือของมีค่าเดินทางเพื่อไปบรรจุในพระธาตุ ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไม่ทราบว่าเดินทางมาจากไหนแต่ได้มาพักภายในบริเวณวัดในปัจจุบัน แต่บังเอิญเกิดโรคระบาดเสียชีวิตกันหมด แต่ก่อนที่จะเสียชีวิตได้พากันก่อเจดีย์ด้วยอิฐที่ทำด้วยดินเหนียวเพื่อบรรจุสิ่งของมีค่าไว้ นัยว่าบรรดาสิ่งของมีค่านั้นมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ด้วย
มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าเคยมีคนร้ายพากันขุดหาสมบัติ แต่ไม่มีใครได้ไป ชาวบ้านบอกว่าตอนเช้าพวกคนร้ายต่างแสดงอาการเหมือนว่ายน้ำอยู่ข้างๆเจดีย์นั่นเอง ชาวบ้านเรียกว่า “ว่ายบก” ซึ่งสันนิษฐานว่าเกิดจากวิญญาณที่รักษาสมบัติบันดาลให้เกิดภาพหลอนจนคนร้ายคิดว่ามีแม่น้ำขวางอยู่จึงพากันว่ายข้ามไป แต่ความจริงเป็นเพียงพื้นหินผสมทราย เมื่อว่ายน้ำบนพื้นหินลองนึกภาพดูย่อมจะเกิดอาการบาดเจ็บตามร่างกาย ในมือของคนร้ายยังกำแก้วแหวนเงินทองของมีค่าไว้เต็มมือ
เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง จนไม่มีใครกล้าขุดหาสมบัติที่เจดีย์เก่าแห่งนั้นอีกเลย เจ้าอาวาสเคยพยายามจะบูรณเจดีย์หลายครั้ง แต่นัยว่าวิญญาณที่เฝ้าสมบัติยังไม่อนุญาต
ท่านเจ้าอาวาสเปิดโอกาสให้ดูหนังสือได้เต็มที่ อาหารการฉันไม่ลำบาก ตอนเช้าเมื่อดะวันโผล่พ้นขอบฟ้าส่องประกายกลายเป็นแสงสีทองเรื่อเรืองปลุกผู้คนให้ตื่นจากความหลับไหล ได้เวลาทำงานประจำวันกันแล้ว พระภิกษุอออกโคจรบิณฑบาตกลับมาฉันจังหันเสร็จเริ่มต้นดูหนังสือ เจ้าอาวาสอนุญาตให้ฉันเพลได้ ซึ่งตามปกติวัดป่าจะฉันเพียงครั้งเดียว จะมีก็เพียงแต่น้ำปานะในตอนเย็นเท่านั้น การงานอย่างอื่นไม่ต้องทำ มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือดูหนังสือบาลีเพื่อเตรียมตัวสอบซึ่งมีเวลาเพียงสองเดือน
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติตอนเช้าตั้งโต๊ะกลางลานวัดเริ่มต้นแปลหนังสือไปเรื่อยๆออกเสียงดังๆโดยเปลี่ยนกันแปล รูปหนึ่งแปลอีกสองรูปเปิดหนังสือดูตามไปด้วย หากเกิดสงสัยตรงไหนก็จะหยุดจากนั้นก็เปิดอภิปรายหาที่ไปที่มา จนได้คำตอบที่พอใจ จากนั้นก็เริ่มแปลหนังสือจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทยกันต่อไป
การเรียนในปีนั้นเป็นเปรียญธรรมสามประโยค นักเรียนที่สอบได้จะถูกเรียกว่า “พระมหา” หรือถ้าเป็นสามเณรก็จะมีคำว่า “เปรียญ” ต่อท้ายชื่อ วิธีการเรียนเป็นการศึกษด้วยตนเอง ข้อสอบออกมาจากกองบาลีสนามหลวง กรุงเทพฯ แต่คนเรียนอยู่ท่ามกลางแมกไม้ที่ร่มรื่นในวัดป่าอันเงียบสงัด
พวกเราตั้งกติกากันว่าจะดูหนังสือจากเก้าโมงเช้าถึงสี่ทุ่มทุกวันไม่มีวันหยุด การเรียนแบบนี้จิตเป็นสมาธิดีมากเพราะไม่ต้องคิดเรื่องอื่นใจจดจ่ออยู่กับหนังสืออย่างเดียว ถึงเวลาเลิกเข้าพักตามกุฏิที่ท่านเจ้าอาวาสจัดไว้ให้แยกกันรูปละหลัง
หลวงตาไซเบอร์นั้น ท่านเจ้าอาวาสจัดให้พักที่กุฏิข้างๆเจดีย์เก่าหลังวัด วันหนึ่งหลังจากดูหนังสือประจำวันจบแล้วเดินผ่านเจดีย์ก็พูดขึ้นลอยว่า “ผีมีจริงหรือ ถ้ามีจริงไปคุยกันหน่อยสิ ไปบอกด้วยว่าข้อสอบจะออกตรงไหน” จากนั้นก็เดินขึ้นกุฎิ วันนั้นลืมสวดมนต์ไปถึงก็ล้มตัวนอนทันทีและก้าวสู่ความหลับไหลในเวลาไม่นาน
คงเพราะดูหนังสือหนักเกินไปจึงหลับรวดเดียว มารู้สึกตัวอีกครั้งเหมือนมีคนมาเคาะประตูจึงรีบตื่น ออกเดินบิณฑบาต ทุกอย่างคงดำเนินไปเหมือนทุกวัน
วันที่สองที่สามก็ยังมีคนมาปลุกเหมือนเดิม พลางได้ยินเสียงบ่นเบาๆว่า “พระอะไรนอนขี้เซาเหลือเกิน” สงสัยว่าใครมาด่าเราซึ่งก็เป็นความจริงตามที่เขาว่าจึงไม่ได้โกรธอะไร ดูหนังสือหนักๆหลับดีจริงๆ โบราณท่านว่าไว้ว่า "เหนื่อยกายหลับสนิท แต่เหนื่อยจิตหลับไม่ลง"
หลายวันผ่านไปตั้งใจจะแอบดูว่าใครกันที่มาปลุกเราหลายวันที่ผ่านมา พอตื่นแต่เช้าก็ไม่มีใครมาปลุกเลย แต่วันไหนที่นอนตื่นสายก็จะมีคนมาปลุกทุกที ถามเพื่อนทั้งสองรูปก็บอกว่าไม่มีใครรู้เรื่อง จึงถามเจ้าอาวาส “ท่านก็บอกว่าที่วัดมีพระเพียงสามรูปกับสามเณรอีกหนึ่งรูป ถ้าไม่มีใครไปปลุกก็คงเป็นตาปะขาว” จากนั้นท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก
ดูหนังสือไปก็สงสัยไปว่าตาปะขาวที่ท่านเจ้าอาวาสกล่าวถึงอยู่ที่ไหนกัน ไม่เคยเห็น วันนั้นคิดถึงเรื่องตาปะขาว จนกระทั่งเข้ากุฏิที่พักไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนาตามปกติ
ดึกสงัดน้ำค้างหยดลงบนยอดไม้ สายลมพัดมาแผ่วเบา อากาศหนาวเย็น ทุกสรรพสิ่งอยู่ในความสงัด ในภวังแห่งจินตนาการปรากฎร่างของตาปะขาวท่านหนึ่งกวักมือเรียกจึงเดินตามไป ตาปะขาวพาไปที่ซากเจดีย์เก่า ชี้ให้ดูสมบัติล้ำค่าทั้งเงินทองอัญญมณีหลากหลายชนิด พลางบอกว่าถ้าอยากได้ผมจะยกให้หมดเลย ตอนนั้นจิตกำลังต่อกันอย่างหนักอยากได้ก็อยากได้ แต่ก็ถูกคัดค้านด้วยพลังภายในว่าจะเอาไปทำไม ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเป็นของนอกกาย มีพอกินพอใช้อย่างทุกวันนี้ก็ดีแล้ว อีกอย่างที่มาที่นี่ก็มาเพื่อดูหนังสือเตรียมสอบไม่ได้มาหาสมบัติ จึงบอกตาปะขาวไปว่าขอให้สอบบาลีเสร็จก่อนจะมาเอา
ตาปะขาวบอกว่า “ไม่ได้ถ้าจะเอาต้องรีบเอาในวันนี้เดี๋ยวนี้ด้วย” ในภวังคจิตนั้นเกิดการต่อสู้ระหว่างความอยากได้และการสอบ เราทุ่มเททั้งวันเวลามาตลอดเกือบสองเดือนแล้ว จะหยุดเฉยๆไม่ได้
เสียงตาปะขาวยังแทรกเข้ามาว่า “ถ้าท่านรอจนถึงวันสอบท่านก็ไม่ได้สมบัติ แต่ถ้าท่านอยากได้สมบัติก็ไม่มีการสอบ” ในภวังคจิตยังพยายามต่อรองกับตาปะขาวว่าอยากได้ทั้งสองอย่าง แต่แกไม่ยอมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น คืนนั้นจำได้ว่ามีบทกลอนของสุนทรภู่ท่อนหนึ่งพลันผุดขึ้นมาทันใดว่า “มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน” จำได้แค่นั้น แต่ทว่ากลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตัดสินใจได้ในตอนนั้นว่า “เรียนวิชาหาความรู้ไปก่อน มีวิชาเมื่อไหร่เดี๋ยวก็หาทรัพย์ได้เอง” จึงบอกตาปะขาวไปว่า “ฝากไว้ก่อนขอสอบเสร็จก่อนจะกลับมาเอา” จากนั้นก็เดินหันหลังกลับ
มารู้สึกตัวอีกทีฟ้าเริ่มสางแล้วได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆพอเปิดออกมามองเห็นลางๆว่าชายชราในชุดขาวเดินมุ่งหน้าสู่ซากเจดีย์เก่า พอร้องเรียกก็ไม่มีเสียงขานตอบ เป็นชายชราคนเดียวกับที่ฝันเห็นเมื่อคืน
เมื่อเล่าเรื่องราวให้เจ้าอาวาสฟังท่านยิ้มพลางบอกอย่างอารมณ์ดีว่า “คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆมาว่าตาปะขาวเป็นวิญญาณที่ถูกสั่งให้เฝ้าสมบัติรอวันเวลาที่จะมีคนมาเฝ้าแทน จึงจะได้ไปเกิดในภพภูมิใหม่ คล้ายๆกับปู่โสมเฝ้าทรัพย์ แกหวงสมบัติมากคนแถวนี้เห็นฤทธิ์แกมานักต่อนักแล้ว จึงไม่มีใครกล้าขุดหาสมบัติที่ซากเจดีย์เก่าแห่งนี้อีกเลย เจดีย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จนานๆเข้าก็เหลือแต่กองดิน ชาวอีสานเรียกกองดินว่า “โพน” เมื่อสร้างวัดจึงเรียกว่าโพนพระเจ้า แกคงเฝ้ามานานแล้ว ตาปะขาวคงเบื่อเฝ้าสมบัติเต็มทีแล้ว คงพยายามหาคนมาเฝ้าสมบัติแทน แกจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที โชคดีนะที่ท่านไม่โลภจนเกินเหตุรีบตกปากรับคำของตาปะขาว ถ้าท่านรับสมบัติในคืนนั้นป่านนี้คงนอนหลับไม่มีวันตื่นกลายเป็นผีเฝ้าสมบัติแทนตาปะขาวไปแล้ว”
ปีนั้นมีความพร้อมมากเพราะดูหนังสือเต็มที่เป็นเวลาถึงสองเดือนเต็มๆจึงเข้าสอบด้วยความมั่นใจ แต่ผลการสอบออกมาปรากฎว่า มีสามเณรรูปเดียวที่สอบผ่าน พระภิกษุอีกสองรูปสอบตก อดีตสามเณรท่านนั้นปัจจุบันได้ลาสิกขาไปแล้วเรียนไม่หยุดจนถึงปริญญาเอกกลายเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเพื่อนเก่าที่พบกันไม่กี่วันที่ผ่านมา พระสงฆ์อีกรูปกำลังเข้าอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศในขณะนี้ ส่วนผู้เขียนสอบได้เปรียญธรรมเจ็ดประโยคมาหลายปีแล้ว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
20/01/54