ช่วงก่อนลอยกระทงกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ที่ไม่ค่อยสบายที่ต่างจังหวัด แม่บอกว่าเดินเหินไม่ค่อยสะดวกปวดแข้งปวดขาตามประสาคนแก่ทั่วไป แต่พอพบหน้าลูกชายดูเหมือนอาการป่วยจะเหือดหายไป ญาติผู้ใหญ่คงเหลือแต่แม่ ส่วนพ่อนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว พอถึงวันพ่อในแต่ละปีจึงได้แต่คิดถึงและทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แม่จึงเป็นทั้งพ่อและแม่ในคนๆเดียวกันมาหลายปีแล้ว แต่พอเห็นอาการแล้วไม่น่าเป็นห่วงคงอยู่ได้อีกหลายปี เนื่องจากเดินเข้าหมู่บ้านในช่วงเวลาเดียวกับที่หลวงพ่อและพระภิกษุหลายรูปกำลังเดินบิณฑบาตพอดี จึงถ่ายภาพได้หลายภาพ เหลือบไปเห็นทองดีกำลังนั่งดื่มกาแฟอย่างมีความสุขจึงแวะเข้าไปคุยด้วย
ทองดีอาชีพชาวนาวัยกลางคนตื่นขึ้นมานั่งดื่มกาแฟตั้งแต่เช้าตรู่ที่หลังบ้าน พลางสูบยาเส้นกลิ่นฉุนที่ปลูกเอง ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งสะท้อนกับแสงแดดอุ่นในยามเช้า มองดูแล้วช่างเป็นชีวิตที่มีความสุข ทองดีเป็นเพื่อนสมัยที่ยังเป็นเด็กนานมาแล้วที่ไม่ได้พบหน้ากัน แกมีชีวิตที่ผ่านงานมาหลายอย่าง เคยทำงานที่กรุงเทพมหานคร เป็นกรรมกรก่อสร้าง ทำงานในโรงงาน ขับรถแท็กซี่ แต่ในที่สุดก็กลับบ้านเกิดตั้งหน้าทำนาทำไร่ แกบอกว่าผมโง่มานาน อาชีพที่ดีที่สุดสำหรับผมก็คือเกษตรกรนี่แหละ ผมยังมีที่นา มีสวนอีกหลายไร่ หากปรับปรุงดินหรือแกล้งดินตามที่พระองค์ท่านตรัสไว้ ผมว่าที่นาและไร่ผมคงเพียงพอกับการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง
เมื่อถามว่าคิดอย่างไรจึงย้อนกลับมาทำนาทำไร่ ทองดีจึงเล่าให้ฟังว่า "ผมจำได้ว่าวันนั้นอยู่ในช่วงต้นเดือนธันวาคม แต่จำไม่ได้แล้วเป็นปีไหน ผมนั่งดูโทรทัศน์เห็นในหลวงกำลังเกี่ยวข้าว จากนั้นก็มีนักวิชาการออกมาพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง พอฟังไปสักพักผมก็เริ่มคิดถึงสมัยที่ผมเป็นเด็ก พ่อปลูกผลไม่ทุกอย่างที่กินได้เช่นกล้วย อ้อย มะม่วง มะขาม มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ฟักแฝงแตงโม ไชโยโห่หิ้ว ประโยคสุดท้ายเด็กๆมักจะร้องเล่นๆเป็นเพลงมานานแล้ว คิดว่าท่านก็คงจำได้ ผมคิดว่านั่นแหละคือหัวใจของเศรษฐกิจพอเพียงคือทำงานอย่างมีความสุขสนุกกับงาน ” ทองดีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ยังจำสมัยที่ยังเป็นเด็กได้ไหมทองดีหันมาถาม จึงตอบแกไปว่าจำได้ “ทุกอย่างอยู่ในไร่นา อยู่ในสวน วันหนึ่งแทบไม่ต้องใช้เงินเลย ข้าวก็อยู่ในฉางปีหนึ่งๆเพียงพอสำหรับครอบครัวหนึ่ง ปลาก็อยู่ในบึงในหนอง ผักก็อยู่ข้างๆรั้ว สมัยหนึ่งรัฐบาลรณรงค์เรื่องผักสวนครัวรั้วกินได้ เป็นนโยบายที่เข้าที่ดี สมัยเป็นเด็กหากอยากกินปลาก็เพียงแต่ไปที่บึงเหวี่ยงแหอวนลงไปครั้งเดียวเลือกเฉพาะปลาที่ตัวโตพอสมควรจากนั้นก็เดินกลับบ้าน น้ำที่กำลังต้มไว้กำลังเดือด แค่นี้ก็ได้กินต้มปลาแล้ว หากอยากกินผลไม้ก็เดินไปที่ข้างรั้ว ผลไม้มีให้กินได้ทุกฤดูกาล ข้างรั้วเป็นต้นฝรั่ง มะม่วง มะพร้าวเป็นต้น ผลไม้แทบทุกอย่างปลูกอยู่ภายในบริเวณบ้านนั่นแหละ”
หลายครั้งที่ทองดีมักจะแอบเข้าสวนของชาวบ้านไปหามะม่วงสุกมากิน แกมักจะอ้างว่าไม่ได้ขโมยแต่ผลไม้บางอย่างที่สวนเรายังไม่สุกแต่สวนของคนอื่นกำลังสุกเหลืองอร่ามน่ารับประทาน สอยมะม่วงของชาวบ้านมาได้ยังแบ่งให้เจ้าของสวนอีก เจ้าของสวนนึกว่าพวกเราใจดีรู้จักแบ่งปัน แต่ที่ไหนได้เป็นมะม่วงของเขาเองนั่นแหละที่พวกเราถือวิสาสะสอยมาเองโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว
ทองดีเสริมว่า “ผมว่าในอดีตวิถีชีวิตของชาวนานี่แหละคือเศรษฐกิจพอเพียง เพียงแต่ไม่มีใครนำมาสร้างเป็นทฤษฎี เพราะอยู่กันมาจนเคยชิน แต่เมื่อในหลวงนำมาอธิบายด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลทำให้มองเห็นได้ชัดเจน ทฤษฎีบางอย่างก็มาจากวิถีชีวิตของชาวบ้านนั่นเอง ชาวบ้านทำเป็นแต่ไม่รู้จักสร้างทฤษฎี”
ผมได้แนวคิดจากในหลวงว่าชีวิตที่มีความสุขคือความพอเพียง นั่นคือเมื่อพอเพียงก็คือสุข เป็นสุขแต่พอเพียง จากนั้นผมก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งพาภรรยาและลูกชายหนึ่งคนกลับบ้าน ทิ้งอาชีพคนขับแท็กซี่เพราะช่วงนั้นแท็กซี่มีมากในขณะที่คนโดยสารน้อยลง แม้รัฐบาลจะบอกว่าเศรษฐกิจกำลังไปได้ดี แต่พวกผมคนขับแท็กซี่กำลังจะอดตาย ผมกลับบ้านและเริ่มต้นปลูกต้นไม้ ผัก ผลไม้ทุกอย่าง ขุดสระกักกันน้ำไว้ เลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ทำทุกอย่างตามทฤษฎีของพระองค์ท่าน แต่บางอย่างผมก็เปลี่ยนแปลงเสียเองเช่นการขุดสระน้ำและปลูกบ้าน ผมแยกกัน บ้านพักผมอยู่ในหมู่บ้าน ผมทำสวนเป็นสวนจริงๆ ส่วนน้ำเพียงแต่กั้นลำธารที่ไหลผ่านก็กลายเป็นสระน้ำส่วนบุคคลได้แล้ว น้ำที่เหลือก็ยังไหลไปยังที่ไร่นาของคนอื่นได้เหมือนเดิม ผมเพียงแต่เปลี่ยนเส้นทางน้ำนิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมก็มีน้ำไว้ใช้เพียงพอตลอดปี
ทุกเช้าภรรยาผมก็ตื่นมาใส่บาตรพระ ท่านเดินบิณฑบาตทุกวัน ในขณะที่ลูกชายไปโรงเรียน ส่วนผมก็นั่งดื่มกาแฟสูบยาเส้นที่ผมปลูกเองไม่มีสารพิษ กาแฟผมก็ปลูกเองพอเมล็ดโตได้ที่นำมาตากแห้งจากนั้นก็บดในครกที่ใช้ตำพริกนี่แหละ ไม่ต้องไปหาเครื่องบดที่ไหนดอก ทองดีชงกาแฟมาให้ลองหนึ่งแก้ว กาแฟสดหอมจริงๆ ดื่มกาแฟเสร็จก็ไปทำงานที่ไร่และนาซึ่งอยู่ที่เดียวกัน อาหารกลางวันส่วนมากจะเป็นปลาที่ได้มาจากสระที่ขุดไว้ ผลไม้ก็อยู่ในสวน กลางวันมีอาหารเพียงส้มตำ ต้มปลา น้ำพริกจิ้มผักสดเท่านี้ก็มีแรงทำงานได้ตลอดวันแล้ว วันหนึ่งผมแทบไม่ต้องใช้เงินสักบาทเดียวผมก็อยู่ได้แล้ว ไม่เหมือนอยู่กรุงเทพฯไม่มีเงินอยู่ไม่ได้ทุกอย่างต้องซื้อทั้งนั้น
คนเราถ้ารู้จัก “พอ” คำเดียวเท่านั้นก็มีความสุขแล้ว ส่วนมากจะไม่ค่อยพอยิ่งพวกมีเงินมากๆยิ่งพอไม่เป็น เศรษฐีบางคนไม่มีประเทศอยู่หรืออยู่ในประเทศไม่ได้ก็มี ส่วนผมแม้จะจนไม่ค่อยมีเงินก็ไม่เป็นไร แต่ผมไม่เป็นหนี้ใคร ข้าว ปลา ผัก ผลไม้ทุกอย่างผมขายได้หมด ไม่ต้องนำไปที่ตลาดด้วย มีคนมาซื้อถึงที่เลย ใครอยากได้อะไรเลือกเอาตามความพอใจ ส่วนราคานั้นแล้วแต่ใครจะให้ ไม่มีจริงๆก็ให้ฟรี คนไทยนะขอกันกินได้
วันนั้นได้ดื่มกาแฟสดฟรีของทองดี เลยต้องนั่งฟังแกคุยอย่างได้รสชาติ ชีวิตนั้นเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกวิธีที่จะดำเนินชีวิตได้ การใช้ชีวิตสอนกันไม่ได้ทางใครทางมัน ทองดีอาจพอใจในชีวิตที่พอเพียงในวันนี้ตามแนวพระราชดำริของในหลวงที่พระองค์สอนว่า “เพียงพอก็คือสุข..... สุขแต่พอเพียง” แต่ทว่าจะทนต่อกระแสแห่งทุนนิยมได้นานแค่ไหนยังตอบไม่ได้ ปีหน้าจะแวะเวียนไปเยือนทองดีอีก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
04/23/53