คณะสงฆ์และรัฐบาลไทยได้อัญเชิญธรรมเจดีย์คัมภีร์โบราณอายุสองพันปีจากประเทศนอร์เวย์มาประดิษฐานที่พุทธมณฑลเพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้สักการะบูชา มีข้อสงสัยของใครหลายคนว่าทำไมจึงเรียกคัมภีร์นี้ว่าธรรมเจดีย์ เพราะชาวไทยส่วนหนึ่งคุ้นเคยกับคำว่าเจดีย์หมายถึงธาตุเจดีย์ทั้งหลายที่มีอยู่ตามวัดวาอารามต่างๆ ไม่ค่อยได้ยินคำว่าธรรมเจดีย์มากนัก
คำว่า “เจดีย์” มาจากภาษาบาลีว่า “เจติย” เป็นคำนามนปุงสกลิงค์ แปลว่าเจดีย์ สิ่งที่ระลึกถึงซึ่งควรแก่การเคารพบูชา สิ่งก่อสร้างสำหรับบรรจุสิ่งที่นับถือ และยังมีอีกความหมายหนึ่งเป็นคำนามเพศชาย(ปุงลิงค์)หมายถึงชื่อมหาชนบทหนึ่งในสิบหกของอินเดียโบราณ ได้แก่แคว้นเจติยะ หากดูตามความหมายที่ใช้เรียกพระธรรมเจดีย์ก็จะหมายถึงสิ่งก่อสร้างสำหรับบรรจุสิ่งที่นับถือ คัมภีร์โบราณนี้จารึกลงบนเปลือกไม้ หนังสัตว์ สิ่งที่นับถือของชาวพุทธคือพระธรรม จึงเรียกว่าพระธรรมเจดีย์
คำว่าเจดีย์นั้นอาจจะหมายถึงต้นไม้ก็ได้ ต้นไม้ที่คนส่วนมากนับถือก็จะกลายเป็นเจดีย์ของชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ทรงยอมรับและมีสิกขาบทห้ามภิกษุทำลายสิ่งที่ชาวบ้านเคารพ ดังที่มีปรากฎในวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค สังฆาทิเสส สิกขาบทที่เจ็ด (1/521/654) มีเนื้อหาสรุปความว่า”พระฉันนะจะสร้างวิหารจึงให้โค่นต้นไม้อันเป็นเจดีย์ของชาวบ้าน ต่อมาชาวติเตียน เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่องจึงได้สอบถามทราบความจริงแล้วจึงได้ทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้ให้โค่นต้นไม้ อันเป็นเจดีย์ ซึ่งชาวบ้าน ชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรัฏฐะ พากันบูชาเล่า เพราะมนุษย์มีความสำคัญในต้นไม้ว่ามีชีพ ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว” ต้นไม้ที่เป็นเหมือนเจดีย์คงมีความสำคัญสำหรับชาวบ้าน การที่พระสงฆ์จะตัดต้นไม้นั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ
จากนั้นจึงได้บัญญัติสิกขาบทความว่า “อนึ่ง ภิกษุจะให้สร้างวิหารใหญ่ อันมีเจ้าของเฉพาะตนเอง พึงนำภิกษุทั้งหลายไปเพื่อแสดงที่ ภิกษุเหล่านั้นพึงแสดงที่อันไม่มีผู้จองไว้ อันมีชานรอบ หากภิกษุให้สร้างวิหารใหญ่ ในที่อันมีผู้จองไว้ อันหาชานรอบมิได้ หรือไม่นำภิกษุทั้งหลายไป เพื่อแสดงที่ เป็นสังฆาทิเสส”
การเคารพสักการะเจดีย์ก็นำมาสู่ความเจริญได้ดังที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่พระอานนท์มีปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค(10/68 /67 ) ความว่า "ดูกรอานนท์ พวกเจ้าวัชชีจักสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจดีย์ของ พวกเจ้าวัชชีทั้งภายในภายนอก และจักไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลี ที่เคยให้ ที่เคยกระทำแก่เจดีย์เหล่านั้น เสื่อมทรามไปอยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียวไม่มีเสื่อม เพียงนั้น” เจดีย์ในที่นี้คงหมายถึงธาตุเจดีย์สำหรับบรรจุสิ่งที่ควรแก่การสักการะเช่นพระบรมสารีริกธาตุเป็นต้น
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเจดีย์ไว้สามประการดังที่ปรากฎในอรรถกถากาลิงคชาดกพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 6 หน้าที่ 267 ความว่า “ครั้งหนึ่งพระอานนทเถระได้ทูลถามพระตถาคตว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจดีย์มีกี่อย่าง
พระศาสดาตรัสตอบว่า "มีสามอย่างอานนท์ได้แก่ ธาตุเจดีย์ ปริโภคเจดีย์ อุทเทสิกเจดีย์
พระอานนทเถระทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป ข้าพระองค์อาจกระทำเจดีย์ได้หรือ”
พระศาสดาตรัสว่า "อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะธาตุเจดีย์นั้นจะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สำหรับอุทเทสิกเจดีย์ก็ไม่มีวัตถุปรากฏเป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น ต้นมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าอาศัยเป็นที่ตรัสรู้ ถึงพระพุทธเจ้าจะยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม ปรินิพพานแล้วก็ตามเป็นเจดีย์ได้เหมือนกัน
พระอานนท์ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเมื่อพระองค์เสด็จหลีกไป พระมหาวิหารเชตวันหมดที่พึ่งอาศัย มนุษย์ทั้งหลายไม่ได้สถานที่เป็นที่บูชา ข้าพระองค์จักนำพืชจากต้นมหาโพธิมาปลูกที่ประตูพระเชตวันพระเจ้าข้า ในพระเชตวันก็จักเป็นดังตถาคตอยู่เป็นนิตย์”
เมื่อพระศาสดาทรงอนุญาต พระอานนท์และชาวเมืองสาวัตถีจึงได้ร่วมกันปลูกต้นโพธิ ชาวพุทธทั้งหลายจึงมีความเชื่อกันว่าต้นโพธิคือเจดีย์ชนิดหนึ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าและเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ใครอยากสร้างเจดีย์ก็พากันปลูกต้นไม้ไว้ ในชีวิตหนึ่งได้ปลูกต้นโพธฺิหนึ่งต้นก็เหมือนได้สร้างเจดีย์หนึ่งองค์ ผู้คนก็จะได้อาศัยร่มเงาและช่วยบรรเทาอุทกภัยได้บ้าง
เจดีย์จึงเป็นสิ่งที่ก่อขึ้น ที่เคารพบูชา สิ่งที่เตือนใจให้ระลึกถึง สถานที่หรือสิ่งที่เคารพบูชาเนื่องด้วยพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา เรียกเต็มว่าสัมมาสัมพุทธเจดีย์หรือพุทธเจดีย์ จำแนกตามประเภทได้ดังนี้
1.ธาตุเจดีย์ หมายถึงเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ในยุคต่อมาชาวพุทธส่วนหนึ่งได้ก่อเจดีย์เพื่อบรรจุอัฏฐิหรือกระดูกของผู้ที่ตนเคารพนับถือเช่นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายายเป็นต้น ในวัดแต่แห่งจึงเต็มไปด้วยเจดีย์ทั้งใหญ่และเล็กตามความศรัทธาของแต่ละคน วัดในประเทศไทยส่วนมากจะสร้างเจดีย์ไว้พร้อมกับสร้างพระอุโบสถ แต่ที่มีเจดีย์มากที่สุดอยู่ที่พุกาม ประเทศเมียนมาร์ ที่นั่นมีเจดีย์หลายพันองค์กระจายเต็มพื้นที่ จนอาจจะเรียกว่าทะเลแห่งเจดีย์ก็ได้
2.บริโภคเจดีย์ หมายถึงเจดีย์คือสิ่งหรือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย อย่างแคบหมายถึงต้นโพธิ อย่างกว้างหมายถึงสังเวชนียสถาน 4 ตำบลคือสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนาและสถานที่ปรินิพพาน ตลอดจนสิ่งทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าเคยทรงบริโภค เช่น บาตร จีวร และบริขารอื่นๆ เป็นต้น
3.อุทเทสิกเจดีย์ หมายถึงเจดีย์สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า ได้แก่พระพุทธรูป รูปเคารพ รูปแกะสลักอันบ่งความถึงพระพุทธเจ้า ปัจจุบันมีการสร้างพระพุทธรูปมากมายหลายปางต่างๆกัน ประมาณ 80 ปาง มีอริยาบถแตกต่างกันออกไป แต่ที่นิยมมักจะแสดงถึงอิริยาบถทั้งสี่คือยืน เดิน นอน นั่ง พระพุทธรูปยืนก็มีหลายปางเช่นปางอุ้มบาตร ปางห้ามญาติเป็นต้น กิริยาการเดินก็นิยมเรียกว่าปางลีลา กิริยาการนอนก็นิยมเรียกว่าปางไสยาสน์ อาการนั่งมีหลายสิบปางเช่นปางสมาธิ เป็นต้น ในยุคต่อมานิยมสร้างพระพุทธรูปให้มีขนาดเล็กและสามารถนำติดตัวไปได้และนิยมเรียกว่าพระเครื่อง นอกจากจะเป็นรูปพระพุทธเจ้าแล้วยังเป็นรูปของพระเถระที่ชาวบ้านศรัทธาเลื่อมใส ปัจจุบันพระเครื่องได้กลายเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง พระเครื่องบางองค์มีราคาหลายล้านบาท
4.ธรรมเจดีย์ หมายถึงเจดีย์บรรจุพระธรรมเช่นบรรจุใบลานจารึกพุทธพจน์แสดงหลักอริยสัจ หลักปฏิจจสมุปบาท กฎแห่งกรรมเป็นต้น ธรรมเจดีย์มีแสดงไว้เป็นการเฉพาะหลายแห่ง ไม่ได้แสดงรวมกับเจดีย์ทั้งสามประเภทข้างต้น ครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ในที่สุดพระพุทธเจ้าได้ประกาศว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ตรัสธรรมเจดีย์ดังที่ปรากฎในธรรมเจติยสูตรมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์(13/570/390) ความว่า “เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นี้ ตรัสธรรมเจดีย์ คือพระวาจาเคารพธรรม ทรงลุกจากที่ประทับนั่งแล้วเสด็จหลีกไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนธรรมเจดีย์นี้ไว้ จงทรงจำธรรมเจดีย์นี้ไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์ ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์" พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงเป็นธรรมเจดีย์ ใครสร้างคัมภีร์พระธรรมหรือถวายพระธรรมก็จะได้บุญ ส่วนใครศึกษาเล่าเรียนพระธรรมเจดีย์จะได้กุศล
ทุกคนมีสิทธิในการสร้างเจดีย์ได้ การสร้างพระเครื่องในอดีตวัตถุประสงค์สำคัญอย่างหนึ่งก็เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา การรวบรวมหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจารึกลงบนวัสดุที่คงทนเพื่อให้ได้เก็บไว้ได้นานนอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาคำสอนของพระพุทธศาสนาไว้แล้ว อีกอย่างหนึ่งก็เป็นที่เคารพสักการบูชาของพุทธศาสนิกชน เสมือนหนึ่งได้ถวายความเคารพต่อหน้าพระพักตร์ขององค์พระศาสดา
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
12/11/53