ในหลายจังหวัดของประเทศไทยยังจมอยู่ใต้น้ำ ก็ยังหวังว่าคงอีกไม่กี่วันน้ำจะลด ไร่นาทั้งหลายคงเสียหายยับเยินไปแล้ว สิ่งของเครื่องใช้ลอยหายไปกับสายน้ำต่อหน้าต่อตา แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้ไม่ต้องหาสาเหตุแล้วว่าทำไมน้ำจึงท่วม ต้องช่วยเหลือผู้ประสบภัยก่อน แต่วัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธในช่วงนี้คือวันออกพรรษาและประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะก็ต้องดำเนินกันต่อไป ชาวบ้านก็เดือดร้อน พระสงฆ์ก็เดือดร้อน โอหนอ....ธรรมชาติเจ้าช่างโหดร้ายนัก คนไทยจึงตกอยู่ในภาวะหัวเราะก็ไม่ได้ ร่ำให้ไม่ออก
ความเป็นมาของการตักบาตรในวันเทโวโรหณะนั้นเชื่อกันว่า ในพรรษาที่เจ็ดพุทธเจ้าทรงจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ดังที่พระอนุรุทธได้บอกกับมหาชนที่ชุมนุมกันในสังกัสสนครว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่บัณฑุกัมพลสิลา ในภพดาวดึงส์แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎกแก่พระมารดา" ส่วนพุทธมารดอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิตดังข้อความในอรรถกถาขุททกนิกาย ธรรมบท หน้า 310 ความว่า "พระศาสดาเมื่อประทับนั่งครอบงำเทพดาทุกหมู่เหล่าด้วยรัศมีพระสรีระของพระองค์อย่างนี้ พระพุทธมารดาเสด็จมาจากวิมานชั้นดุสิต ประทับนั่ง ณ พระปรัศว์เบื้องขวา"
เจ็ดวันก่อนวันมหาปวารณา ออกพรรษา มหาชนที่เฝ้ารอการเสด็จลงจากเทวโลกของพระพุทธเจ้าได้เข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะเพื่อให้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าจะเสด็จลงจากเทวโลกเมื่อไหร่ ข้อความในอรรถกถาขุททกนิกาย ธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 3 - หน้าที่ 316 ได้บรรยายไว้ว่า “ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ฟังถ้อยคำของพุทธศาสนิกชนแล้วรับว่า " ดีละ" แล้วดำลงในแผ่นดินตรงนั้นเอง อธิษฐานว่า " บริษัทจงเห็นเรา ผู้ไปถึงเชิงเขาสิเนรุแล้วขึ้นไปอยู่ " มีรูปปรากฏดุจด้ายกัมพลเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีเทียว ขึ้นไปแล้วโดยท่ามกลางเขาสิเนรุ แม้พวกมนุษย์ก็แลเห็นท่านว่า " ขึ้นไปแล้วหนึ่งโยชน์ ขึ้นไปแล้วสองโยชน์ " เป็นต้น
ภูเขาสิเนรุอยู่ตรงไหนปัจจุบันนี้ไม่มีใครเคยเห็น แต่พระมหาโมคคัลลานะดำลงยังแผ่นดินและโผล่ขึ้นยังภูเขา มหาชนก็มองเห็นโดยทั่วหน้ากัน พระมหาโมคคัลลานะได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นภิกษุผู้เลิศด้วยฤทธิ์ เป็นรองเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น
ข้อความต่อไปบรรยายว่า “แม้พระเถระขึ้นไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระศาสดาดุจเทินไว้ด้วยเศียรเกล้า กราบทูลอย่างนั้นว่า "พระเจ้าข้าบริษัทประสงค์จะเฝ้าพระองค์ก่อนแล้วไปพระองค์จักเสด็จลงเมื่อไร "
พระศาสดาจึงตรัสว่า “โมคคัลลานะ ก็สารีบุตรพี่ของเธออยู่ที่ไหน
พระมหาโมคคัลลานะทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ท่านจำพรรษาอยู่ในสังกัสสนคร”
พระศาสดาจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นโมคคัลลานะ ในวันที่เจ็ดแต่วันนี้ไป เราจักลงที่ประตูเมืองสังกัสสะ ในวันมหาปวารณา ผู้ใคร่จะพบเราก็จงไปที่นั่นเถิด สังกัสสนครจากกรุงสาวัตถีประมาณ 30 โยชน์ ในหนทางนั้นกิจที่จะต้องเตรียมเสบียง ย่อมไม่มีแก่ใคร ๆ เธอพึงบอกแก่คนเหล่านั้นว่าท่านทั้งหลายจงเป็นผู้รักษาอุโบสถไปดุจไปสู่วิหารใกล้เพื่อฟังธรรมเถิด
ข้อความเบื้องต้นเป้นที่มาของการตักบาตรที่นิยมเรียกกันว่าวันเทโวโรหณะคือวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หรือวันพระเจ้าเปิดโลก วันนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลายต่างก็เป็นผู้รักษาอุโบสถศีล
ในวันนั้นหลังจากออกพรรษาแล้วในหนังสือธรรมบทได้บรรยายถึงวันพระเจ้าเปิดโลกไว้อย่างน่าสนใจว่า “พระศาสดาเสด็จจำพรรษาปวารณาแล้ว ตรัสบอกแก่ท้าวสักกะว่า "มหาบพิตร อาตมภาพจักไปสู่ถิ่นของมนุษย์" ท้าวสักกะทรงนิรมิตบันไดสามชนิดคือบันไดทองคำ บันไดแก้วมณี บันไดเงิน เชิงบันไดเหล่านั้นตั้งอยู่แล้วที่ประตูสังกัสสนคร หัวบันไดเหล่านั้นตั้งอยู่แล้วที่ยอดเขาสิเนรุ ในบันไดเหล่านั้น บันไดทอง ได้มีในข้างเบื้องขวาเพื่อพวกเทวดาบันไดเงินได้มีในข้างเบื้องซ้ายเพื่อมหาพรหมทั้งหลาย บันไดเเก้วมณีได้มีในท่ามกลางเพื่อพระตถาคต พระศาสดาประทับยืนอยู่บนยอดเขาสิเนรุ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลกทรงแลดูข้างบนแล้ว สถานที่อันพระองค์ทรงแลดูแล้วทั้งหลายได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก ทรงแลดูข้างล่าง สถานที่อันพระองค์ทรงแลดูแล้ว ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงอเวจี ทรงแลดูทิศใหญ่และทิศเฉียงทั้งหลาย จักรวาลหลายแสนได้มีเนินเป็นอันเดียวกันเทวดาเห็นพวกมนุษย์ แม้พวกมนุษย์ก็เห็นพวกเทวดา พวกเทวดาเเละมนุษย์ทั้งหมดต่างเห็นกันแล้วเฉพาะหน้าทีเดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีไปแล้ว มนุษย์ในบริษัทซึ่งมีปริมณฑล 36 โยชน์แม้คนหนึ่งเมื่อแลดูสิริของพระพุทธเจ้าในวันนั้นแล้วชื่อว่าไม่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า มิได้มีเลย
ถ้าหากใครคนใดก็ตามได้พบเห็นเหตุมหัศจรรย์เห็นปานนั้นแล้ว ก็ยากที่จะไม่ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถแสดงปาฏิหาริย์อย่างนั้นได้
ในการเสด็จลงจากเทวโลกนั้นมีบรรยายต่อไปว่า “พวกเทวดาลงทางบันไดทอง พวกมหาพรหมลงทางบันไดเงิน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงทางบันไดแก้วมณี เทพบุตรนักฟ้อนชื่อปัญจสิขะ ถือพิณสีเหลืองดุจผลมะตูมยืนอยู่ณ ข้างเบื้องขวา ทำบูชาด้วยการฟ้อนแด่พระศาสดาลงมา มาตลิสังคาหกเทพบุตรยืน ณ ข้างเบื้องซ้าย ถือของหอมระเบียบและดอกไม้อันเป็นทิพย์นมัสการอยู่ทำบูชาแล้วลงมา ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสุยามถือพัดวาลวิชนี พระศาสดาเสด็จลงพร้อมด้วยบริวารนี้หยุดประทับอยู่ที่ประตูสังกัสสนคร
นัยว่าในวันนั้นมนุษย์ที่อยู่ในเมืองสังกัสสนครมองเห็นเทวดาและพรหมทั้งหลาย เพราะอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าและหมู่เทวดา ในปัจจุบันวัดใดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาก็จะจำลองการเสด็จลงจากเทวโลกของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งมีพระสงฆ์เดินบิณฑบาตลงมาจากยอดเขา เป็นการจำลองภาพที่น่าดูอย่างยิ่ง ที่โด่งดังมากที่สุดแห่งหนึ่งคือวัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เพราะมีทำเลตั้งอยู่บนยอดเขา ภาพพระสงฆ์ที่เดินบิณฑบาตลงมาตามบันไดเป็นภาพที่ทั้งงดงามและแฝงไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แต่หากวัดใดไม่มีทำเลอย่างนั้นก็สามารถจำลองเทวดาเดินนำหน้า และพระสงฆ์เดินบิณฑบาตรอบพระอุโบสถก็ได้ความรู้สึกเหมือนนำลังได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับหมู่เทวดาเหมือนกัน
เมื่อพระพุทธเจ้าพระบาทแตะพื้น พระสารีบุตรเถระอัครสาวกเบื้องขวาได้เข้ามาถวายบังคมพระศาสดา เพราะเหตุที่พระศาสดาเสด็จลงด้วยพุทธสิริเห็นปานนั้น พระสารีบุตรไม่เคยเห็นแล้วมาก่อน จึงประกาศความยินดีของตนด้วยคาถา " พระศาสดาผู้มีถ้อยคำอันไพเราะทรงเป็นอาจารย์แห่งคณะเสด็จมาจากดุสิตอย่างนี้ เรายังเคยไม่เห็น หรือไม่ได้ยินต่อใคร ในกาลก่อนแต่นี้ พระเจ้าข้า วันนี้เทวดาและมนุษย์แม้ทั้งหมดย่อมกระหยิ่มปรารถนาต่อพระองค์ "
พระศาสดาตรัสกะท่านว่า "สารีบุตรชื่อว่าพระพุทธเจ้าผู้ประกอบพร้อมด้วยคุณเห็นปานนี้ย่อมเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายโดยแท้ จากนั้นได้แสดงคาถาว่า "พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเป็นปราชญ์ ขวนขวายในฌาน ยินดีแล้วในธรรมที่เข้าไปสงบด้วยสามารถแห่งการออก, แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ย่อมกระหยิ่มต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ”
พระสารีบุตรบอกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ตามตำราบอกว่าพระพุทธจ้าเสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนพุทธมารดาเป็นเทพบุตรอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต เรื่องของการแสดงฤทธิ์คนไม่มีฤทธฺ์อย่าคิดมากเดี๋ยวจะปวดหัวและมีส่วนแห่งความเป็นบ้าได้ง่าย ข้อความในอรรถกถา ธรรมบทแสดงไว้ว่า “พระศาสดาเสด็จไปโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์ ครั้งนั้นพระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางเทวบริษัท ทรงปรารภพระมารดาเริ่มตั้งอภิธรรมปิฎกว่า "กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา,อพฺยากตา ธมฺมา " ดังนี้เป็นต้น ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโดยนัยนี้ เรื่อยไปตลอดสามเดือน ก็แลทรงแสดงธรรมอยู่ในเวลาภิกษาจารทรงนิรมิตพระพุทธนิรมิต ด้วยทรงอธิษฐานว่า "พุทธนิรมิตนี้จงแสดงธรรมชื่อเท่านี้จนกว่าเราจะมา " แล้วเสด็จไปป่าหิมพานต์ ทรงเคี้ยวไม้สีฟันชื่อนาคลตา บ้วนพระโอษฐ์ที่สระอโนดาต นำบิณฑบาตมาแต่อุตตรกุรุทวีป ได้ประทับนั่งทำภัตกิจในโรงกว้างใหญ่แล้ว พระสารีบุตรเถระไปทำวัตรแต่พระศาสดาในที่นั้น พระศาสดาทรงทำภัตกิจแล้ว ตรัสแก่พระเถระว่า " สารีบุตร วันนี้เราภาษิตธรรมชื่อเท่านี้ เธอจงบอกแก่ภิกษุห้าร้อยรูปนิสิตของตน " กุลบุตรห้าร้อยเลื่อมใสยมกปาฏิหาริย์ จึงบวชในสำนักของพระสารีบุตร
ครั้นตรัสแล้วพระพุทธเจ้าเสด็จไปสู่เทวโลก ทรงแสดงธรรมเองต่อจากที่พระพุทธนิรมิตแสดง แม้พระเถระก็ไปแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้น เมื่อพระศาสดาเสด็จอยู่ในเทวโลกนั้นแล ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์เจ็ดแล้ว
ดังนั้นชาวพุทธในยุคต่อมาจึงเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นจำพรรษายังเทวโลกเพื่อแสดงธรรมแก่พุทธมารดาตลอดพรรษาเป็นเวลาติดต่อกันสามเดือน ในวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลกพุทธบริษัทจำนวนมากต่างก็เฝ้ารอการกลับมาของพระพุทธเจ้า จึงเป็นประเพณีนิยมเกิดเป็นการทำบุญหลังวันออกพรรษาหนึ่งวันเรียกว่า "วันเทโวโรหณะ" หากแปลตามตัวอักษรก็จะได้ความว่าวันเสด็จลงจากเทวโลก หรือชาวพุทธส่วนหนึ่งนิยเรียกกันว่า “วันพระเจ้าเปิดโลก”ใครอยู่ใกล้วัดไหนก็ขอเชิญไปวัดนั้น บางทีอาจจะมีโอกาสเห็นเทวดาบ้าง เทวดาทั้งหลายอาจจะช่วยทำให้น้ำลดลงโดยเร็ว ชาวบ้านจะได้หัวเราะได้ในเร็ววัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
22/10/53