วันนั้นบนท้องถนนแห่งกรุงเทพมหานครรถติดอย่างหนัก ตามปกติแม้รถจะติดบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาของเมืองฟ้าอมรแห่งนี้ แต่วันนั้นทั้งฝนตกและรถติด จะขยับเปลี่ยนเส้นทางก็ไม่ได้ เพราะบนถนนไม่มีที่ให้ถอยต้องเดินหน้าต่อไปอย่างเดียวเท่านั้น รถค่อยๆขยับไปทีละนิด ปกติใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีก็ถึงจุดหมายแล้ว แต่วันนั้นกว่าจะถึงที่หมายต้องใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมง
สาเหตุของรถติดในวันนั้นเพราะเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน รถเก๋งยี่ห้อดังทั้งคู่เบนซ์กับเบนซ์ นอกจากนั้นยังมีรถสิบล้ออีกคันบรรทุกไม้มาเต็มคันรถจอดขวางทางอีก เรียกว่าเจ้าของเป็นคนรวยทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร ขิงก็ราข่าก็แรง จึงเกิดการทุ่มเถียงกันอย่างหนัก เพราะความที่ถือว่าตนเองต่างก็มีเงินและมีอิทธิพล แม้ตำรวจจะพยายามไกล่เกลี่ยให้ยอมความกัน แต่ก็ไม่ได้ผล จึงทำให้บนท้องถนนกลายเป็นอัมพาตไปโดยปริยาย อย่างนี้ต้องเรียกว่ายอมไม่เป็น ชีวิตบางครั้งก็ต้องรู้จักยอมกันบ้าง
จุดมุ่งหมายสำคัญของมนุษย์คือการมีความสุข แต่มักจะมีความทุกข์มาเยือนมากกว่าความสุข การดำเนินชีวิตของมนุษย์ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความสุขคือ “การรู้จักยอมหรือยอมเป็น”คือยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นจนเป็นนิสัย บางครั้งแม้ว่าสิ่งที่เขาคิดหรือพูดนั้นเราจะไม่เห็นด้วย แต่การยอมรับฟังความคิดที่แตกต่างก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไม่เกิดความวุ่นวาย เมื่อสังคมสงบสุขตัวเราเองก็มีผลแห่งความสันตินั้นด้วย คนที่รู้จักยอมรับฟังคนอื่น มักจะเป็นคนที่มีความสุข
มีเรื่องเล่าว่าสามีภรรยาคู่หนึ่งพึ่งแต่งงานใหม่ๆ โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ได้รักชายที่เป็นสามีเลย แต่เพราะเห็นแก่พ่อแม่จึงจำเป็นต้องแต่งงาน สุภาษิตโบราณเรียกการแต่งงานแบบนี้ว่าคลุมถุงชน ถ้าสามีภรรยาปรับความต่างให้กลายเป็นความเหมือนได้ก็อาจจะอยู่ด้วยกันยืด แต่ถ้าปรับความเห็นให้ลงรอยกันไม่ได้ ชีวิตแต่งงานก็ล้มเหลวต้องเลิกราแยกทางกันในที่สุด
ฝ่ายภรรยาซึ่งไม่ได้รักสามีมาก่อนเลยจึงคิดหาทางแกล้งสามีเพื่อที่ว่าสามีจะทนไม่ได้ จะได้ขอแยกทางกัน คิดหาวิธีอยู่หลายวัน จึงคิดออกโดยเริ่มที่อาหารการกินนี่แหละเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด แม้ภรรยาจะไม่ได้รักสามีแต่ก็ยังคงทำหน้าที่ของภรรยาไม่ขาดตกบกพร่อง
วันหนึ่งภรรยาหุงข้าวใส่น้ำมากเกินไป เพื่อต้องการให้ข้าวแฉะสามีจะได้ทานข้าวไม่ได้และเกิดความไม่พอใจ พอยกสำหรับกับเข้ามาให้สามี ด้วยความที่สามีเป็นคนรู้จักยอม พอตักข้าวใส่ปากจึงบอกภรรยาว่า “ข้าววันนี้หุงข้าวได้นิ่มดีกินแล้วคล่องคอ”จากนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีและรับประทานข้าวจนหมดจาน
วันต่อมาภรรยาหุงข้าวใส่น้ำน้อยข้าวเลยไหม้ ฝ่ายสามีก็รับประทานอย่างหน้าตาเฉย พลางบอกว่า “ข้าววันนี้หอมดี” แล้วก็ก้มหน้าก้มตารับประทานต่อไปอย่างหน้าตาเฉยด้วยความสงบเยือกเย็น
แม้ภรรยาจะหาเรื่องแกล้งสามีด้วยวิธีการต่างๆนานา แต่สามีก็ยอม ไม่โต้เถียงใดๆ เรียกว่าจะแกล้งอย่างไรก็รอได้ รอว่าสักวันภรรยาคงเห็นใจ จนในที่สุดภรรยาก็ต้องยอมแพ้ความอดทนและความใจเย็นของสามี ทั้งสองครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่ชรา มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง สิ่งหนึ่งที่สามีภรรยาคู่นี้อยู่ด้วยกันได้ส่วนหนึ่งมาจากการรู้จักยอมหรือการยอมเป็น เย็นพอ และรอได้ของสามี หากสามีขึ้นเสียงเถียงภรรยาตั้งแต่วันแรกๆที่อยู่ด้วยกัน ภรรยาร้อนมาผัวร้อนไป ก็จะเกิดความร้อนใจประดุจไฟเผาทรวง ไฟได้เชื้อมีแต่จะเกิดเปลวไฟเผาผลาญ ตราบใดที่ไฟได้เชื้อก็จะไม่หมดเปลว แต่หากคนหนึ่งร้อนคนหนึ่งเย็นก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขได้ ชีวิตมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันหากได้เชื้อกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลงคอยเติมอยู่ตลอดก็มีแต่จะเกิดความร้อนภายในจิตใจไม่มีวันหมดสิ้น แต่หากบรรเทาโลภ โกรธ หลงลงได้ก็จะพบกับความสงบเย็น ไฟดับได้ด้วยน้ำ จิตใจร้อนดับได้ด้วยธรรม
ในสังคมมนุษย์ปัจจุบันมีแต่คนที่หวังแต่จะเอาชนะคนอื่น จึงไม่มีใครยอมใคร อีกอย่างยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีการทำมาหากินฝืดเคืองก็มีผลทำให้คนใจร้อน ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหา แต่ถ้าต่างฝ่ายมีความใจเย็นสังคมก็น่าอยู่ และบางอย่างก็ต้องรู้จักรอโอกาสเหมือนปลูกไม้ดอกไม้ประดับก็ต้องรอจนถึงเวลาที่ไม้นั้นจะออกดอก การศึกษาก็เหมือนกันต้องค่อยเป็นค่อยไปต้องรอให้ได้จึงจะเห็นผลในบั้นปลาย ดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า "ต้นไม้ออกดอกช้าฉันใด การศึกษาก็เป็นไปฉันนั้น" หากมนุษย์ทุกคนรู้จักยอมให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ การดำเนินชีวิตก็จะมีความสุข โลกนี้ก็จะสงบสันติและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
08/09/53