ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

            เคยคิดน้อยใจตัวเองว่าทำไมจึงเกิดมาขี้เหร่อย่างนี้ หน้าตาก็ไม่ดีทั้งอ้วนทั้งเตี้ย แถมยังมีผมน้อยอีกต่างหาก พอหันไปมองคนอื่นบ้างบางคนรูปหล่อ รูปร่างดี แถมมีเงินใช้ไม่ขาดมือ เคยคิดว่าถ้าเกิดชาติหน้าขอให้เกิดมามีรูปร่างหน้าตาดี มีทรัพย์สมบัติเงินทอง พี่น้องที่สมบูรณ์ จากนั้นก็เริ่มทำบุญกุศล สิ่งไหนที่คิดว่าจะทำให้เกิดมาหน้าตาดีในชาติหน้า ก็พยายามศึกษาและลงมือทำ ชาตินี้ถึงจะเป็นอย่างไรก็แก้ไขไม่ได้แล้ว ต้องจำใจยอมรับสภาพเท่าที่เป็นอยู่ บางคนยอมรับสภาพของตนเองไม่ได้ถึงกับคิดฆ่าตัวตายก็มี

            หลายปีมาแล้วได้พบนักศึกษาแพทย์สาวสวยคนหนึ่ง พ่อแม่มีทรัพย์สินเงินทองมากเพียงพอที่จะส่งให้ลูกสาวเรียนสูงๆได้ เรียนแพทย์สาขาเทคนิคการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หลวงพ่อเจ้าอาวาสแนะนำให้มาพบ หลังจากนั่งสนทนากันสักพักเธอก็เริ่มคำถามที่เคยถามหลวงพ่อเจ้าอาวาสว่า “ทำไมคนจึงทุกข์ ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข”
            เป็นปัญหาพื้นๆทั่วไปที่คนส่วนมากถามกัน แต่ไม่คิดว่าจะมาจากปากของนักศึกษาแพทย์คนนั้น ที่ดูอย่างไรเธอก็มีพร้อมมูลทุกอย่าง ไม่น่าจะเป็นคนมีทุกข์ไปได้ จึงย้อนถามกลับไปว่า “ถามเพื่อคนอื่นหรือว่าถามเพื่อตนเอง” เธอตอบว่าทั้งสองอย่าง
            จึงได้เริ่มสาธยายว่า “พระพุทธศาสนาสอนว่าโลกนี้คือทุกข์ ชีวิตเป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย ไม่ได้ของที่ตนปรารถนาก็เป็นทุกข์ สูญเสียสิ่งที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ โดยสรุปพระพุทธศาสนาสอนว่าทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือทุกข์ในขันธ์ห้าคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่รวมกันเป็นมนุษย์คือรูปกับนามนี่เอง ดังนั้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมองเห็นว่าความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์จึงได้สละราชบัลลังค์ออกแสวงหาทางพ้นทุกข์ เวลาผ่านไปหกปีจึงได้พบสัจจธรรมความจริงและได้รู้แจ้งแห่งความทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ ความดับทุกข์ และทางแห่งการพ้นทุกข์ที่ชาวพุทธเรียกว่าอริยสัจจ์สี่คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั่นเอง”

 

            พอฟังจบเธอร้องว่า “โอ้โห ยากไป คิดตามไม่ทัน ดิฉันพึ่งศึกษาพระพุทธศาสนาได้ไม่นาน แต่ก่อนก็เพียงสนใจในการทำบุญทำทานเท่านั้น ตอนเช้าวันไหนที่มีเวลาจะใส่บาตร แต่แม่และยายจะใส่บาตรประจำ ถ้าวันไหนใส่บาตรไม่ทันก็จะตามมาส่งถึงวัด ครอบครัวดิฉันเคารพและศรัทธาหลวงพ่อมานานแล้ว ดิฉันก็รู้จักหลวงพ่อมาตั้งแต่จำความได้ ทุกวันนี้ก็ยังมาถวายอาหารหลวงพ่อเป็นประจำ”
            วันนั้นการสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ก่อนที่เธอจะกลับบ้านและรีบไปเรียนหนังสือ
            วันต่อๆมาเธอก็ยังแวะเวียนนำอาหารมาถวายตามคำแนะนำของหลวงพ่อเจ้าอาวาส เมื่อพบกับหลวงพ่อจึงได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน หลวงพ่อบอกว่า “ท่านมหาเป็นพระสมัยใหม่ คงสามารถตอบคำถามกับคนรุ่นใหม่ได้ ส่วนหลวงพ่อแก่แล้วไม่ค่อยมีเวลาคิดหาคำตอบใหม่ๆได้ ความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เริ่มจะไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกแล้ว ฝากท่านมหาด้วย ดูเหมือนว่าเอกำลังมีความทุกข์ที่หาทางออกไม่ได้”
            เธอมักจะมีปัญหาแปลกๆใหม่มาถามอยู่เรื่อย สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่มี อินเทอร์เน็ตก็ยังไม่รู้จัก วันหนึ่งเธอถามว่า “ดิฉันคิดจะฆ่าตัวตายหนีความทุกข์ทรมานใจ” แต่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้ได้คุยกับหลวงพ่อ ได้คุยกับท่านอาจารย์เลยลืมคิดถึงเรื่องฆ่าตัวตาย
            เมื่อถามว่าทำไมคิดฆ่าตัวตาย

            เธอจึงได้เล่าความจริงให้ฟังว่า “ครอบครัวของดิฉัน มองจากสายตาของคนภายนอกน่าจะเป็นครอบครัวที่มีความสุข พ่อเป็นหมอที่โรงพยาบาลของรัฐ แม่เป็นพยาบาล มีลูกสาวหนึ่งคน มีลูกชายหนึ่งคน ลูกชายอยากเรียนการโรงแรม ในขณะที่พ่อแม่ต้องการให้เรียนแพทย์ ส่วนดิฉันต้องการเรียนอักษรศาสตร์เพราะชอบอ่านหนังสือ ชอบอ่านนิยาย จึงอยากเป็นนักเขียน แต่พ่อแม่ขอร้องแกมบังคับให้เรียนแพทย์ เพื่อเห็นแก่ความสุขของพ่อแม่ดิฉันจึงจำใจเรียนทั้งๆที่ไม่ชอบ ฝ่ายน้องชายตัดสินใจเรียนในสิ่งที่ตนรักคือด้านการโรงแรม
            ดิฉันทนเรียนได้สองปีรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุข เพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก วันๆไม่ได้พบโลกอื่นเลย ตื่นเช้าไปเรียน เย็นกลับบ้าน เพราะมหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักนัก นั่งจักรยานยนต์ไปไม่ถึงสิบนาที  จึงแอบไปสมัครเรียนในอีกสาขาหนึ่งที่ตนเองชอบ ในมหาวิทยาลัยเอกชน พอพ่อแม่รู้ข่าวเข้าจึงดุด่าอย่างรุนแรง หาว่าเป็นลูกไม่รักดีบ้าง หาว่าเป็นลูกที่ไม่ฟังคำพ่อแม่บ้าง ในที่สุดก็ต้องลาออก และกลับมาเรียนในสาขาวิชาที่พ่อแม่อยากให้เรียน ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าเมื่อไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนรักก็ขอตายดีกว่า ได้ซื้อยาและเตรียมการที่จะฆ่าตัวตายไว้พร้อมแล้ว แต่วันนั้นแม่สั่งให้นำอาหารมาถวายหลวงพ่อเจ้าอาวาส จู่ๆหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า “การที่ได้เกิดมาเป็นเป็นมนุษย์ในโลกนี้เป็นการยาก” ดิฉันก็ต้องสะดุ้งเพราะตอนนั้นกำลังวางแผนจะฆ่าตัวตาย จากนั้นจึงได้นั่งสนทนากับหลวงพ่อหลายเรื่อง ในที่สุดหลวงพ่อก็แนะนำให้มาพบกับพระอาจารย์นี่แหละ

 
            เมื่อถามว่าทุกวันเลิกคิกฆ่าตัวตายแล้วหรือ เธอบอกว่าเลิกคิดแล้ว และตอนนี้มีความสุขกับการเป็นนักศึกษาแพทย์มาก เพราะถือว่าเรียนไปเพื่อช่วยเหลือคน มนุษย์ที่กำลังมีความทุกข์จากการเจ็บป่วย เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็จะพ้นจากทุกข์ได้ เวลาว่างก็ยังอ่านหนังสือและเขียนนิยายที่เราชอบได้อีกถือเป็นเวลาพักผ่อนไปด้วย การได้ทำงานในสิ่งที่เรารักถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง  ความชอบหรือไม่ชอบส่วนหนึ่งก็มาจากการคิด ความสุขความทุกข์ก็มาจากการที่เราคิดเช่นกัน เหมือนกับที่เจ้าชายสิทธัตถะคิดหาคำตอบว่ากามมาจากไหน ในที่สุดก็ได้คำตอบว่า “กามตัณหามาจากความคิด” ความคิดจึงเป็นเบื้องต้นของการดำเนินสู่ความสุข
            หลวงพ่อพุทธทาสแห่งสวนโมกขพลาราม สุราษฎร์ธานีเขียนเรื่องความสุขไว้น่าสนใจว่า
                                  “ความเอ๋ยความสุข                     ใครทุกคน ชอบเจ้า วิ่งเข้าหา
                                  แกก็สุข ฉันก็สุขทุกเวลา              แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยิ่งแคลงใจ
                                  ถ้าตัวเรา เผาตัณหา น่าจะสุข       ถ้ามันเผา เราก็ “สุก” หรือเกรียมได้
                                  เขาว่าสุข สุขเน้อ อย่าเห่อไป       มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย ฯ

            คนขี้เหร่หน้าตาไม่ดีแต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย เพราะทำใจได้กับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ร่างกายเป็นเพียงรูปธรรมนามธรรมเท่านั้น รูปหล่อ ขี้เหร่ สวยหรือไม่สวยต่างก็เป็นเพียงสมมุติเท่านั้น ในที่สุดของชีวิตต่างก็ต้องจบลงในที่เดียวกันคือเชิงตะกอน  เมื่อถูกไฟเผามอดไหม้ไปแล้วความขี้เหร่ความสวยก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เหลือไว้แต่บุญและบาปเท่านั้นที่ติดไปกับจิตวิญญาณของเรา
            ส่วนคนที่หน้าตาดี มีพร้อมทุกอย่างกลับเคยคิดฆ่าตัวตาย เพียงเพราะปัญหาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่แน่นักคนที่มองดูจากรูปลักษณ์ภายนอกว่ามีพร้อมทุกอย่างมองดูเหมือนว่าจะมีความสุข แต่แท้จริงกลับมีความทุกข์ที่คนจนไม่เข้าใจเรียกว่าทุกข์ของคนรวย บางครั้งเพียงแค่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการก็อาจถึงกับคิดฆ่าตัวตายได้ บางคนหากมองเพียงรูปร่างหน้าตาภายนอกก็บอกไม่ได้ว่าเขามีความสุขหรือความทุกข์ เพราะสุขและทุกข์อยู่ที่ใจของแต่ละคนต่างหาก เมื่อทำใจยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ได้ตามความเป็นจริงแล้ว ความสุขจะตามมาเองโดยที่ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ใดเลย เพราะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง
 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
13/08/53

    
 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก