พระพุทธรูปในประเทศไทยเท่าที่มีผู้รวบรวมไว้มีประมาณ 80 ปางหรืออาจมากกว่านั้น พระพุทธรูปส่วนมากมักนิยมสร้างด้วยทองคำ หรือวัสดุที่มีค่า ถึงแม้ว่าบางองค์จะสร้างด้วยปูนแต่ก็มักจะทาสีทอง พระพุทธรูปจึงมักจะมีสีทองเหลืองอร่ามดูแล้วน่าเลื่อมใส บางคนไหว้พระพุทธรูปเพียงเพราะทองคำ ไม่ได้ไหว้คุณธรรมของพระพุทธเจ้าที่แฝงอยู่เบื้องหลังของวัตถุที่นำมาสร้างเป็นพระพุทธรูป คนส่วนหนึ่งเมื่อไหว้พระพุทธรูปจึงมองเห็นเพียงทองคำ แม้ว่าพระพุทธรูปจะมามากมายหลายปางแต่ทุกปางจะมีคุณลักษณะพื้นฐานคล้ายกัน
คุณสมบัติของพระพุทธเจ้านั้นมีปรากฎในพุทธคุณที่พุทธศาสนิกชนสวดมนต์อยู่เป็นประจำเริ่มต้นด้วยคำว่า “อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ....ฯลฯ แต่เมื่ออยู่ในรูปลักษณ์ของภาษาบาลีจึงต้องถ่ายทอดเป็นภาษาของผู้ฟังอีกทอดหนึ่ง ซึ่งภาษาบาลีอาจจะต้องเรียนรู้บ้างเพราะเป็นภาษาที่บรรจุพุทธวจนะไว้ทั้งหมด หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วทำไมไม่สวดเป็นภาษาไทยเสียเลยจะได้เข้าใจง่าย
เรื่องนี้มีหลายเหตุผล แต่เหตุผลหนึ่งที่การสวดมนต์ของประเทศไทยยังคงสวดเป็นภาษาบาลีก็เพราะการแปลภาษาบาลีมีหลายสำนวน ถ้าแปลได้ถูกต้องก็ดีไป แต่ถ้ามีผู้ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนาแปลภาษาบาลีเพื่อหวังทำลายพระพุทธศาสนา ก็จะทำได้ง่ายเพียงแปลให้ผิดไปจากความหมายเดิมซึ่งเคยมีผู้เคยทำมาแล้ว เพราะภาษาบาลีมีแต่เสียงไม่มีตัวอักษร เมื่อไปอยู่ในภาษาใดก็ใช้ตัวอักษรของชาตินั้นๆ ผู้สนใจที่จะรู้คำสอนของพระพุทธศาสนาก็มีความจำเป็นต้องศึกษาภาษาบาลีไว้บ้าง
นักปราชญ์รุ่นหลังได้สรุปลักษณะของพระพุทธรูปซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นภาษาชาวบ้านอย่างน่าสนใจว่า คุณสมบัติของพระพุทธปฏิมาเป็นเหมือนคำปริศนาโดยสรุปได้ว่า “เผาไม่ไหม้ ใกล้ไม่ร้อน นอนไม่มาก ปากไม่โป้ง โกงไม่เป็น” แต่ละอย่างมีคำอธิบายไว้ดังนี้
คำว่า “เผาไม่ไหม้” หมายถึงพระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ซึ่งคุณธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของจริง บรรลุนิพพานเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง แม้จะถูกใส่ร้ายต่างๆนานาก็ไม่เสื่อม ดังเช่นในสมัยมีนักบวชหญิงนอกศาสนาคนหนึ่งพยายามใส่ความว่านางตั้งครรภ์กับพระพุทธเจ้า แต่ในที่สุดนักบวชหญิงคนนั้นก็ถูกแผ่นดินสูบ เพราะพูดความเท็จ หรือพระเจ้าสุปปพุทธะพยายามใส่ร้ายพระพุทธเจ้าก็ถูกแผ่นดินสูบ ดังนั้นแม้จะผ่านกาลเวลามานานคุณธรรมของพระพุทธเจ้าก็ยังคงมีอยู่จริงทนต่อการพิสูจน์ ทนต่อการใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ เหมือนถูกเผาด้วยแรงแห่งความปองร้าย แต่ก็ยังทนอยู่ได้เหมือนกับคำว่าเผาไม่ไหม้นั่นเอง จึงเหมือนคนที่ไหว้พระพุทธรูปจึงมิได้ไหว้ทองคำหรือไหว้อิฐไหว้ปูนที่นำมาสร้างพระพุทธรูปแต่ไหว้คุณธรรมคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
คำว่า “ใกล้ไม่ร้อน” หมายถึงพระพุทธรูปมีลักษณะพิเศษบ่งบอกถึงความเมตตากรุณา สงบเย็น เมื่อได้เข้าใกล้คุณธรรมคือเมตตากรุณาจะทำให้ผู้กราบไหว้มีความสงบเย็นใจไปด้วย บางคนเมื่อมีเรื่องเดือดร้อนใจก็จะไปไหว้พระพุทธรูปหรือพระประธานในพระอุโบสถแห่งใดแห่งหนึ่ง ไหว้แล้วเย็น ไหว้แล้วสงบ ความร้อนที่เกิดจากการแผดเของกิเลสก็จะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง แต่ถ้ามีพระพุทธรูปปางใดมองดูแล้วเกิดความร้อนรุ่มอย่างนี้ต้องพิจารณาว่าน่าจะไม่ตรงกับลักษณะของพระพุทธรูป พระภิกษุสามเณรจะมีการไหว้พระสวดมนต์เช้าเย็นทุกวันส่วนหนึ่งก็เพื่อจะได้ซึมซับความสงบเย็นจากพระประธานนี่เอง
ส่วนใครที่เข้าใกล้พระพุทธรูปแล้วรู้สึกมีความร้อนรุ่มภายในแสดงว่าได้ทำความผิดมาก่อน ดังนั้นควรสารภาพบาปต่อหน้าพระพุทธรูป แม้ท่านจะพูดไม่ได้ แต่ท่านฟังได้ จากนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐานที่จะทำคุณงามความดีต่อไป การทำความดีมากๆแม้จะลบล้างความผิดที่ทำมาก่อนได้ไม่หมด แต่เมื่อความชั่วแสดงผลออกมาไม่ได้ เพราะมีความดีมากกว่า กรรมชั่วก็จะค่อยๆเจือจางลงเหมือนน้ำที่ผสมเกลือเมื่อปริมาณน้ำมากขึ้น แม้ว่าเกลือจะมีเท่าเดิม แต่รสเค็มของเกลือก็จะค่อยๆหมดไป กรรมชั่วที่เคยทำมาก่อนก็ทำนองเดียวกัน เมื่อเราทำกรรมดีมากเข้า ผลของกรรมชั่วก็จะแสดงผลไม่ได้ เหมือนเกลือที่ค่อยๆหมดความเค็มเพราะมีปริมาณน้ำที่มากกว่านั่นเอง
วันนี้ได้คุณลักษณะของพระพุทธรูปนำเสนอได้เพียงสองข้อ ส่วนอีกสามข้อต้องรอฟังคำอัตถาธิบายในวันต่อไป หรือใครจะอธิบายไปก่อนก็ไม่ว่ากัน ลองพิจารณาดูก่อนก็ได้ว่าคำว่า “นอนไม่มาก ปากไม่โป้ง โกงไม่เป็น”นั้นจะอธิบายอย่างไร ใครอธิบายได้ส่งมาเผยแผ่แบ่งปันกันได้ สมมุติว่ามีคนอธิบายสัักสิบคนก็ไม่แน่ว่าจะอธิบายขยายความได้ตรงกัน พระพุทธศาสนามีทางเลือกเปิดทางให้คนอธิบายได้ แต่ข้อเท็จจริงและความถูกต้องนั้นต้องยึดมั่นตามต้นฉบับภาษาบาลี
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
15/07/53