หนังสือธรรมะหลวงตาพวงหรือพระเทพสังวรญาณ (พวง สุขินทริโย) มีคติธรรมคำสอนสั้นๆอยู่หลายแห่ง มีคำพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า “ให้ทานก่อนกิน ถือศีลก่อนไป ทำใจก่อนนอน” แต่ไม่มีคำอธิบาย เพราะฟังแล้วเข้าใจได้ทันที แต่หากจะอธิบายความนี้แต่ละคนคงมีคำอธิบายแตกต่างกันไปตามแต่ความเข้าใจของแต่ละคน วันนี้ขออนุญาตอธิบายขยายความให้มีความกระจ่างตามทัศนะความเห็นส่วนตัว ส่วนใครที่ฟังแล้วจะอธิบายอย่างไรนั้น ว่างๆลองอธิบายดูแล้วส่งมาเผยแผ่ก็ได้ ธรรมะมีหลายมุมขึ้นอยู่กับคนมอง
คำว่า “ให้ทานก่อนกิน” ในชนบทของประเทศไทยส่วนมากจะเข้าใจคำนี้ เพราะชาวบ้านจะใส่บาตรถวายอาหารพระสงฆ์สามเณรก่อนที่ตนเองจะรับประทานต้องเลือกข้าวที่ใหม่ที่สุด ถ้าเป็นข้าวเหนียวจะเลือกส่วนที่ดีที่สุดคือข้าวที่อยู่ติดกับส่วนยอดของซึงนึ่งข้าว ข้าวร้อนๆก่อนที่จะทานก็ต้องใส่บาตรก่อน แต่ในเมืองใหญ่ๆส่วนมากจะเป็นข้าวจ้าวซึ่งต้องหุง ส่วนมากจะคัดเลือกส่วนที่ดีที่สุดถวายอาหารแด่พระสงฆ์ การที่พระสงฆ์ออกบิณฑบาตในเวลาเช้าก็มาจากจุดประสงค์เพื่อต้องการให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าใจคำว่าให้ทานก่อนกินนี่เอง เป็นการสอนธรรมะจากการปฏิบัติ

บางคนไม่มีโอกาสได้ใส่บาตรพระสงฆ์ก็ต้องหาวิธีการอย่างอื่น อาจจะให้ทานแก่คนอื่นหรือให้ทานแก่สัตว์ต่างๆก็ได้ สิ่งที่จะให้ทานนั้นนอกจากจะเป็นข้าวและน้ำแล้ว ยังมีทานวัตถุอื่นๆที่ท่านแสดงไว้ถึงสิบประการดังที่ปรากฎในมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ความว่า (14/591/290) ความว่า “บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามย่อมเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะกรรมนั้นอันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลังจะเป็นคนมีโภคะมาก” คนชอบให้ทานหากได้เกิดใหม่จะเป็นมนุษย์ที่มีทรัพย์สมบัติมาก ส่วนคนที่ให้ทานใครเขาไม่เป็นมักจะเกิดเป็นคนอนาถา

ผู้ให้ทานได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ฐานะสำคัญห้าอย่าง ดังที่ปรากฎในโภชนทานสูตร อังคุตรนิกาย ปัญจกนิบาต (22/37/36) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทายกผู้ให้โภชนะเป็นทาน ชื่อว่าให้ฐานะห้าอย่างแก่ปฏิคาหก(ผู้รับ)คือให้อายุ ให้วรรณะ ให้สุข ให้กำลัง ให้ปฏิภาณ ปราชญ์ผู้มีปัญญาให้อายุย่อมได้อายุ ให้กำลังย่อมได้กำลัง ให้วรรณะย่อมได้วรรณะ ให้ปฏิภาณย่อมได้ปฏิภาณ ให้สุขย่อมได้สุข ครั้นให้อายุ กำลัง วรรณะ สุข และปฏิภาณแล้วจะเกิดในที่ใดๆ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศ” ผู้ให้อย่างใดมักจะได้ผลตอบแทบแบบนั้น

คำว่า “ถือศีลก่อนไป” ศีลแปลว่าปกติ คนที่มีความเป็นปกติทางกายและวาจาชื่อว่ามีศีล จะเดินทางไปในที่ใดๆก็ตามจะไม่มีความเดือดร้อน เพราะไม่ไปทำร้ายใคร ดังนั้นก่อนออกเดินทางไปในที่ใดๆก็ตามควรตั้งจิตอธิษฐานว่าจะเป็นผู้มีศีลหรือมีความเป็นปกติไม่คิดเบียดเบียนหรือคิดทำร้ายใคร ไม่คิดจะขโมยหรือลักของใคร ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับภรรยาคนอื่น ไม่คิดจะพูดจาหลอกลวงผู้อื่นและไม่พยายามดื่มของมึนเมา หรือหากเมาก็ไม่ควรขับรถเพราะจะเกิดอันตรายได้ง่าย เมื่อมีความเป็นปกติอย่างนี้แล้วก็จะไม่มีโทษแก่ใครๆ ย่อมมีแต่ความเจริญดังที่ปรากฎในลักขณชาดก ขุททกนิกาย ชาดก (27/11/5) ความว่า “ความเจริญย่อมมีแก่ชนทั้งหลายผู้มีศีล ประพฤติในปฏิสันถาร” และในสีลวีมังสชาดก ขุททกนิกาย ชาด (27/469/120) ว่า “ได้ทราบมาว่า ศีลเป็นความงาม ศีลเป็นเยี่ยมในโลก บุคคลผู้มีศีล ย่อมเป็นที่รักของญาติทั้งหลาย และรุ่งเรืองในหมู่มิตร เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติ” ดังนั้นควรฝึกเป็นคนมีศีลไว้เพราะ "คนมีศีลเหมือนดินมีน้ำ คนขาดศีลเหมือนดินขาดน้ำ"

คำว่า “ทำใจก่อนนอน” หมายถึงก่อนจะนอนให้ทำใจให้สงบคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าวันนี้เราได้ทำคุณงามความดีอะไรไว้บ้าง ถ้าได้ทำความดีแล้วก็จะเกิดความสงบใจนอนหลับฝันดี แต่ถ้าได้ทำความไม่ดีอะไรไว้ก็คิดว่าพรุ่งนี้จะแก้ไขให้ดีกว่าวันนี้ วันพรุ่งนี้ย่อมจะดีกว่าวันนี้ จากนั้นก็ไหว้พระสวดมนต์ตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้สัตว์ร่วมโลกที่มีความเกิด แก่ เจ็บตายเหมือนกันกับตัวเรามีความสุขมีความเจริญ นั่นก็จะเป็นการทำความดีในแต่ละวัน

หากมนุษย์ทั้งหลายมีความคิดและปฏิบัติตามคำที่ว่า “ให้ทานก่อนกิน ถือศีลก่อนไป ทำใจก่อนนอน” เป็นประโยคที่จำง่ายๆท่องไว้ประจำใจก็ได้จะได้มีพระธรรมไว้คอยเตือนสติ ชีวิตของแต่ละคนก็จะมีความสุข และมีผลทำให้สังคมเกิดความสงบสันติสุขไปด้วย ความสุขหรือความทุกข์เริ่มต้นที่ตัวเรา มิใช่เริ่มต้นที่คนอื่น
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/07/53