ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai


     ในการเดินทางแต่ละครั้งย่อมกำหนดต้นปลายและจุดปลายปลายทางไว้อย่างชัดเจนว่าจะออกเดินทางเมื่อใด ไปทางไหนจะไปทางรถหรือทางเครื่องบินและจะถึงจุดหมายปลายทางเมื่อใด ใช้เวลาในการเดินทางนานเท่าใด ระหว่างทางจะทำอะไรบ้าง ดูเหมือนว่าหากจะเดินทางทุกครั้งต้องมีจุดหมายปลายทางที่ขัดเจน แต่ถ้าหากการเดินทางนั้นรู้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น แต่ไม่รู้จุดหมายว่าจะเดินทางไปไหน ไปถึงปลายทางเมื่อใด การเดินทางแบบนั้นคงเป็นการเดินทางที่ไร้สาระ แต่ว่ามนุษย์บางครั้งก็มักจะทำสิ่งที่ไร้สาระโดยไม่ได้กำหนดว่าตนเองกำลังทำสิ่งไร้สาระ


     จุดเริ่มต้นของการเดินทางชีวิตเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าถือกำเนิดมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ ก่อนที่จะมาเกิดนั้นไม่รู้ว่าเคยอยู่ที่ไหนมาก่อน อาจจะเคยเกิดมนุษย์อยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้ หรือว่าอยู่ที่โลกใบอื่น หรืออาจจะเกิดในภพภูมิอื่นที่ไม่รู้ว่าเป็นภพภูมิไหน เป็นเทวดา เป็นพรหม หรือเป็นยักษ์ หรือเป็นสัตว์ดิรัจฉานสักประเภทก็ได้ ทุกอย่างเป็นไปได้หมด เพราะเราไม่สามารถจะสืบรู้ไปถึงว่า “เรามาจากไหน”
     ดังนั้นปฐมบทแห่งการเดินทางจึงเริ่มต้นในวันที่ที่เกิด ซึ่งก็จำไม่ได้ว่าเราดำเนินชีวิตอย่างไรในช่วงปีแรก มีชีวิตอยู่อย่างไร เกี่ยวข้องกับใครบ้าง ฝึกนั่ง ฝึกนอน ฝึกเดิน ฝึกกินอย่างไร อยู่กับใครบ้าง ไปที่ไหนมาบ้าง ช่วงนั้นความทรงจำยังไม่มี ความรู้ยังไม่เกิด สิ่งที่ทำเกิดจากประสบการณ์และความเคยชินทั้งสิ้น เช่นการรู้จักความร้อนก็เพราะไปสัมผัสกับไฟ จึงรู้ว่าร้อน ครั้งต่อมาเมื่อเห็นสีแดงๆกำลังเป็นเปลวเพลิงก็จะรู้ว่าร้อน ไม่ไปแตะต้องอีก นั่นเป็นความรู้พื้นฐานที่ได้มาเพราะการได้สัมผัสด้วยตนเอง
     เมื่อถึงเวลาหิว สัญลักษณ์ที่แสดงออกก็คือร้องให้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ง่ายที่สุด หิวก็ร้องให้ อยากได้อะไรก็ร้องให้ เจ็บปวดก็ร้องให้ ไม่พอใจก็ร้องให้ หรือหากเป็นไปในทางที่น่าพอใจก็แสดงอาการหัวเราะออกมา วิชาที่ได้มาในวัยเด็กมักใช้ได้ผลเสมอ เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องมักจะสนองตอบตามเสนอแทบทุกครั้ง สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จำได้ แต่สังเกตเทียบเคียงกับเด็กคนอื่นๆในภายหลัง
     พอเริ่มจำความได้น่าจะช่วงที่เริ่มพูดได้ รู้ว่าคนๆนี้จะเรียกว่าอย่างไร พ่อคือคนนี้ แม่คือคนนี้ ส่วนญาติที่เกี่ยวข้องก็ต้องค่อยๆเรียนรู้และจดจำเอาทีหลัง บางคนก็เรียกผิดสถานะมาจนถึงปัจจุบัน คนที่ควรเรียกอา ก็เรียกว่าลุง คนที่ควรเรียกป้า ก็เรียกว่าน้า อย่างนี้เป็นต้น
     ชีวิตเริ่มมีการเดินทางก็ในช่วงที่ต้องเข้าโรงเรียน สมัยนั้นเริ่มเข้าเรียนขั้นประถมศึกษาในวัย 7 ขวบ ต้องเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนซึ่งสมัยนั้นต้องบอกว่าอยู่ไกลมาก ทางทุรกันดารพอสมควร ต้องเดินข้ามสะพานสูงสามเมตร เป็นแผ่นไม้เพียงสามแผ่น ถ้าเผลอตกสะพานก็ต้องเปียกไปเรียนไม่ได้ การเรียนสมัยนั้นจึงไม่ค่อยสม่ำเสมอ วันไหนขี้เกียจเรียนก็แกล้งเดินตกสะพาน เสื้อผ้าเปียกก็กลับบ้าน หรือถ้ายังไม่อยากกลับบ้านเพราะแม่จะด่า ก็ต้องไปที่วัดเล่นในวัดหรือออกนอกวัดหาที่เล่นในทุ่งนา ป่าเขาไปตามเรื่อง ซึ่งสมัยนั้นการเล่นนอกโรงเรียนสนุกกว่าการเรียนหนังสือ
     สมัยนั้นส่วนมากเมื่อเรียนจบภาคบังคับคือชั้นประถมปีที่สี่ก็หยุดเรียน เพราะไม่รู้จะเรียนไปทำไม ออกไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา ชีวิตก็เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ไม่นานก็แต่งงานมีครอบครัว มีลูกมีหลานสืบต่อไป ชีวิตของคนบางคนจึงไม่ค่อยได้เดินทางไกลจากหมู่บ้านเลย ที่ไกลหน่อยก็น่าจะเป็นตัวอำเภอในวันเกณฑ์ทหาร หรือหากจะเดินทางไกลจริงๆก็เป็นเมืองหลวงนั่นคือการเดินทางจากบ้านเกิดเข้ามาหางานทำเป็นลูกจ้างในโรงงานต่างๆ ในต่างจังหวัด
     การเดินทางตามรูปแบบนี้ไม่ได้มีจุดหมายปลายทางอันใด เพราะสักวันหนึ่งก็ต้องกลับบ้าน ไปสานต่องานของพ่อแม่ที่เคยทำมาก่อน ชีวิตจึงเหมือนไม่มีจุดหมายอันใด อยู่ไปวันๆ ทำงานอย่างเดิมๆทุกวัน ชีวิตของชาวชนบททั่วไปมักเป็นไปเช่นนี้
ชีวิตในวัยเยาว์ไม่เคยตั้งคำถามว่า “เราเกิดมาทำไม เราจะทำอะไร เราจะไปไหน เป้าหมายปลายทางของชีวิตคืออะไร” แค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ มีที่อยู่ มีอาหารให้กิน มีดินให้ทำนาทำไร่ ชีวิตก็ไม่ต้องถามหาเป้าหมายแล้ว
     แต่ถ้าวันหนึ่งเริ่มมีคำถามว่า “เรากำลังเดินทางไปไหน จุดปลายปลายทางของเราคืออะไร” เราจะตอบคำถามนี้อย่างไร เพราะสิ่งที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ใช่ปลายทางแห่งชีวิตจริงๆ วันสุดท้ายปลายทางของชีวิตคือการไม่มีชีวิตนั่นเอง อาจจะเรียกได้ว่า “มนุษย์เราเกิดมาเพื่อตาย” สิ่งที่มีคุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำถามว่าเราจะไปไหน เพราะถึงแม้เราไม่ตั้งคำถาม ก็เป้นอันรู้โดยทั่วไปว่า “เรากำลังเดินทางไปสู่การไม่มีชีวิตนั่นเอง สาระของชีวิตจึงไม่ได้อยู่ที่เป้าหมายสุดท้ายเสมอไป แต่สาระอยู่ที่ระหว่างการเดินทางว่าเรากำลังทำอะไรในขณะที่ยังมีชีวิต ทำชีวิตในวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเราไม่อาจจจะรู้ได้ว่าการเดินทางของชีวิตนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด อยู่ถึงวันไหนวันนั้นก็คือวันสุดท้าย

 

มโน  นามธรรม
02/02/68

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก