เคยนอนไม่หลับไหม คิดว่าหลายท่านคงเคยประสบปัญหานี้แทบทั้งนั้น พอถึงเวลานอนแต่พอล้มตัวลงนอนนัยน์ตากลับลุกโพลง หลายท่านเคยบอกว่าหากนอนไม่หลับให้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน ไม่นานก็จะหลับไปเอง แต่อ่านหนังสือธรรมะแล้ว ก็ยังไม่ยอมหลับสักที ยิ่งในวันรุ่งขึ้นมีงานสำคัญรออยู่ต้องรีบสะสางอยากจะหลับสนิทเพื่อจะได้มีแรงในการทำงาน ก็ยังไม่ยอมหลับ คนที่นอนไม่หลับดูเหมือนว่ากลางคืนจะยาวนานเป็นพิเศษทั้งๆที่วันเวลา นาทีมีเท่าเดิม ปล่อยให้กลางคืนเป็นควันเผาใจ กลางวันเป็นเป็นไฟเผาจิต
ในพระพุทธศาสนาได้แสดงเรื่องถึงที่สิ่งยาวนานไว้สำหรับคนสามประเภทดังที่ปรากฎใน ขุททกนิกาย ธรรมบท พาลวรรค (25/15/16) ความว่า “ราตรียาวแก่คนผู้ตื่นอยู่ โยชน์ยาวแก่คนผู้เมื่อยล้า สงสารยาวแก่คนพาลผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม”
คำว่า “ราตรียาวแก่คนผู้ตื่นอยู่” หมายถึงคนที่นอนไม่หลับ จะมาจากสาเหตุใดก็ตาม กลางคืนย่อมยาวนานเป็นพิเศษ พระพุทธเจ้าได้ยกเรื่องราวของพระราชาองค์หนึ่งที่ครั้งหนึ่งเดินทางเยี่ยมชมสาระทุกข์สุกดิบของประชาชนได้พบกับหญิงคนหนึ่ง เพราะความงดงามของหญิงนั้น พระราชาเกิดความหลงไหลอยากได้เธอมาเป็นมเหสี แต่เมื่อสอบถามแล้วได้ความว่าหญิงสาวคนนั้นมีสามีแล้ว พระราชาคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดีฆ่าสามีเธอเสียแล้วแย่งเมียเขามาหรือว่าหาเรื่องให้เธอกับสามีทะเลาะกัน หรือว่าแย่งมาดื้อๆ ซึ่งอำนาจของพระราชาในสมัยนั้นทำได้ เมื่อคิดถึงหญิงสาวและวิธีการทำให้พระราชาไม่สามารถหลับลงได้คืนนั้นจึงเป็นที่ยาวนานที่สุด จนกระทั่งเวลาเช้าจึงได้เดินทางเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับตัณหา ราคะว่าเป็นเรื่องที่ดับได้ยาก พระราชาจึงเลิกคิดปล่อยให้สามีภรรยาคู่นั้นอยู่กันตามสถานภาพต่อไป ตัณหาราคะไม่เข้าใครออกใคร
คนที่นอนไม่หลับอาจคิดเรื่องงานหรือเรื่องความรัก เรื่องอื่นๆอีกมากมาย จะเป็นคนตื่นในเวลาที่ควรหลับ หรือเป็นคนหลับในเวลาที่ที่ควรตื่น ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
คำว่า “โยชน์ยาวแก่คนผู้เมื่อยล้า” โยชน์เป็นเครื่องวัดระยะทางในสมัยโบราณ ปัจจุบันวัดเป็นกิโลเมตร หนึ่งโยชน์ประมาณสิบหกกิโลเมตร(20 วาเป็น1 เส้น, 400 เส้นเป็น 1 โยชน์ ดังนั้นโยชน์หนึ่ง 8000 วา หรือ 16000 เมตร ซึ่งก็คือ 16 กม) คนเดินทางที่อ่อนล้าแม้ระยะทางจะไม่ไกลนัก แต่ดูเหมือนว่าจะยาวมาก ยิ่งอยากจะไปถึงจุดหมายปลายทางให้ทันเวลาในขณะที่ร่างกายที่กำลังหมดแรงนั้น หนทางที่จะก้าวยิ่งยาวไกล
ส่วน “สงสารยาวแก่คนพาลผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม” นั้น คำว่า “สงสาร” มาจากคำว่าสังสารวัฎ คำว่า“วัฏ”หมายถึง วน วงเวียน องค์ประกอบที่หมุนเวียนต่อเนื่องของภวจักรหรือสังสารจักร แบ่งออกเป็นสามอย่างคือ(1)กิเลสวัฏฏ์ หมายถึงวงจรกิเลสซึ่งประกอบด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน (2)กรรมวัฏฏ์ หมายถึงวงจรกรรมประกอบด้วยสังขารและกรรมภพ (3)วิปากวัฏฏ์ หมายถึงวงจรวิบากประกอบด้วยวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ซึ่งแสดงออกในรูปปรากฎที่เรียกว่าอุปปัตติภพ ชาติ ชรา มรณะเป็นต้น
สังสารจักรหรือสังสารวัฏ หาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดได้ยาก เพราะเป็นวงจรที่ดำเนินไปตามกิเลส กรรม วิบาก นั่นคือกิเลสทำ กรรมสร้าง วิบากเป็นผล หมุนเวียนเหมือนกงกำกงเกวียน เมื่อหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ก็หาจุดหมายไม่ได้ชีวิตจึงต้องเวียนว่านตายเกิดอีกไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนชาติ ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ก็ยังตอบไม่ได้ อาจจะต้องถือกำเนิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานเป็นหมู หมา กา ไก่ก็ได้ พระพุทธเจ้าเองก็เคยถือเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเหมือนกันเช่นช้าง ม้า วัว ควาย กระต่าย ปลาเป็นต้น แต่เพราะจิตที่ตั้งปณิธานแน่วแน่ในการค้นหาสัจจธรรม ในที่สุดจึงไปถึงจุดหมายได้นั่นคือปรินิพพานในชาติสุดท้าย
ชีวิตมนุษย์หากพินิจดูให้ดีสั้นนัก แต่ก็สำคัญนักเช่นกัน เพราะเป็นโอกาสที่จะได้สร้างกุศล สร้างบารมี สร้างคุณงามความดีเพื่อที่จะได้เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นไป ชาตินี้ทุกข์ยากไม่เป็นไร ชาติต่อไปอาจจะได้มีชีวิตที่ดีกว่า หากปล่อยให้กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ ก็ยากจะทำใจให้เย็นสงบ กลางคืนคิดมากจนนอนไม่หลับ กลางวันก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ ยิ่งปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามวงจรแห่งกิเลส กรรม วิบากก็ยากจะไปถึงสันติสุขได้
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
18/05/53